พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทริปเส้นทางแห่ง...ผู้พิชิตขุนเขา...ท้าลมหนาว ตอน..ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์แสงแห่งงาช้าง สุดเขตประเทศไทย บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก




      การเดินทางในช่วงฤดูหนาว กลางเดือนมกราคม ๒๕๕๗ คณะเราไปด้วยกันแค่ ๒ คัน ไปด้วยใจที่รักป่า เพื่อนำเรื่องราวมนต์ขลังแห่งป่าออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ จาก..สถานที่ที่อยู่ห่างไกลสังคมเมือง กับสภาพธรรมชาติของป่าเขาที่ร่มรื่นตามตะเข็บแนวชายแดนไทย - เมียนมาร์ เป็นการย่างเข้าสู่วันที่ 3 ของเที่ยวการเดินทางครั้งนี้
     ถ้านับระยะทางจากเป็นกิโลเมตร จากเมืองตากสู่เขตอำเภออุ้มผาง น่าจะประมาณ 221 กิโลเมตร ซึ่ง ณ ปีนี้ ยังครองสถิติ..ตัวอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมากที่สุดในประเทศไทย (ใช้ระยะเวลาเดินทางเกือบ 1 วัน)  และจากตัวอำเภออุ้มผาง...สู่เขต...บ้านเปิ่งเคลิ้ง ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก (สุดเขตชายแดน ไทย-เมียนมาร์) อีกประมาณกว่า 70 กิโลเมตร การเดินทางกินเวลามากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งเป็นไปตามสภาพถนน และสภาพภูมิประเทศ...



      จากบ้านเปิ่งเคลิ้ง (สุดเขตชายแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ลำห้วยแดน) หลังจากสะสมเสบียงอาหารเพิ่มเติม พอตะวันคล้อยบ่าย เราก็ต้องรีบมุ่งไปต่อยังจุดหมายต่อไปก่อนจะพลบค่ำ อันจะพลาดเสียไม่ได้ของเที่ยวการเดินทางครั้งนี้ จากเส้นทางหลักบ้านเปิ่งเคลิ้ง มีทางแยกไปตามป้ายบอก จุดสกัดมอตาลัว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง นั้นคือเส้นทางผ่าน เพื่อที่จะไปจุดหมายต่อไปของเรา ดินแดนแห่งความเร้นลับ มีมนต์ขลัง "หมู่บ้านกะเหรียงฤษีเลตองคุ"

        เส้นทางแยกจากลงจากเส้นทางหลัก จุดสกัดมอตาลัว พูดคุยสอบถามชาวบ้านแล้ว การสื่อสารพูดคุยกันไม่ค่อยถนัด จึงไม่ค่อยมั่นใจในเส้นทาง พอจับใจความได้ว่าระยะทางไปบ้านกะเหรี่ยงเลตองคุประมาณ ร่วมกว่า ๒๐ กิโลเมตร


เส้นทางปูนในช่วงแรกๆ ขุนเขาตระหง่านเบื้องหน้า


  ผ่านสวนต้นหมาก ป่าโปร่งในระยะแรกๆ




เข้าทางฝุ่นลูกรังชันเขาแล้ว เตรียมปรับใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 H


บรรยากาศแห่งความวังเวงที่สัมผัสได้

แลนด์โรเวอร์..ออกนำร่องไปก่อนข้างหน้า


แลนด์โรเวอร์กำลังไต่ระดับ 


ลำห้วยยามนี้ ข้ามสบายหน่อย กลับไปไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย


  ผ่านจุดสกัดมอตาลัว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง


ไปตามเส้นทางฝุ่นลูกรัง เบียดโค้งขึ้น-ลงเขาไปเรื่อยๆ

ทิ้ง..ให้เห็นฝุ่นเลยนะ



ทางวงเวียน สูงชันอ้อมโขดหิน


มองดูแลนด์โรเวอร์ ขยับตัวเบียดทางโค้งลงไปก่อน..ป่าเงียบดีจริงๆ


ป่าเงียบกริบ  ไม่มีแม้ลมพัด เป็นสัญญานราวกับว่าเรากำลังล่วงล้ำเข้าสู่ "แดนสนธยา"




 เส้นทางเปลี่ยว โอบล้อมด้วยขุนเขา..อันเร้นลับ จิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น ที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย

ที่พักริมทาง

     " เนินช่องเขาขาด"  พอพ้นยอดเนิน ต้องรีบหักพวงมาลัยออกซ้ายทันที...หุบเหว....ขืนพุ่งตรงไป เป็นได้กินกล้วยเป็นมื้อเย็นแน่ๆ


มองจากเนินข้างบนลงมา ...เสือไฟ..หงอยเหงาหาคู่...

 ข้ามลำห้วยที่ ๒ สังเกตผงฝุ่นติดตัวรถ









  เส้นทางเห็นอยู่ไกลลิบลับ แต่ไม่ยักกะเจอบ้านเรือนผู้คนเลย





 ส่องเห็น แลนด์โรเวอร์ ตัวกะเปี๊ยกเดียว

ผ่านลำห้วยที่ ๓

                                             แลนด์โรเวอร์..ล้อแบะนิดๆ ตีซะจนน้ำ(สีหมาก) กระจาย ๕๕๖๗


ถึงที่หมาย..."หมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษี เลตองคุ " ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า 




"หมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ"

ภาพคลาสสิก...สุดประทับใจ...

เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว สังเกตไม่เห็นชาวบ้านเลย..ไปไหนกันหมด

ฝุ่นเต็มคันรถเลย พอจะมองเห็นโดยอาศัยที่ปัดน้ำฝน..

     บนยอดดอย เห็นธงชาติ โบกสะบัดอยู่ลับๆ เลยลองขับขึ้นไปตามร่องทางสัญจรของรถอีต็อก (เกษตรยนต์) ที่เป็นนาข้าวเก็บเกี่ยวแล้ว ขึ้นไปดู พบเจ้าบ้านกะเหรี่ยงชาย จึงพูดคุยสอบถาม ปรากฎว่า วันนี้มีงานบุญ ชาวบ้านไปร่วม "งานทำบุญสุขศาลา"..กันเป็นส่วนใหญ๋ นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่จะได้เห็นงานบุญที่หมู่บ้านในหุบเขากลางป่า




" สุขศาลาอยู่ทางนู้น...! "


ชาวบ้านที่นี่นิยมเคี้ยวหมาก จะเห็นหมาก..วางตากแดดอยู่ทั่วไป 


"ตะวันกำลังสั่งลาฟ้า" 


ลานกิจกรรม..สุขศาลากลางหมู่บ้าน


ชาวบ้านเริ่มมารวมกลุ่มกันและวางสินค้าพื้นเมืองในงานบุญ สอบถามแล้วเราเข้าไปเที่ยวงานได้


หนุ่มสาวกะเหรี่ยงมากันเยอะมาก สังเกตผู้หญิงที่เป็นสาวยังไม่แต่งงาน จะใส่ชุดผ้าทอสีขาว




 บางส่วนก็รับชมอุปกรณ์สื่อบันเทิง


"ศิลปินเดี่ยว"...ผมเอง..แฮ่..แฮ่..

กล่องบริจาคอยู่ด้านข้าง ช่วยกันบริจาคคนละเล็กละน้อย เนื่องในงานบุญ

บรรยากาศยามค่ำคืน เดินชมงานและเลือกซื้อของกินแบบชาวบ้าน
   
  แม่ค้าตัวน้อย วัยสดใส..แห่งค่ำคืนนี้ วางสินค้าประเภท"หมากพื้นเมือง.."ทำเอง สีสันสดใส แอบดูแม่ค้าตัวน้อยทำแล้ว คล่องแคล่วดี ใช้ใบพลูวางพื้นเพื่อห่อหุ้มทีหลัง ข้างบนมี มะพร้าวคั่วน้ำตาล (มะพร้าวแก้ว) สีออกสีบานเย็น(เกือบชมพู) หมากตากแห้งซอย ปูนหมาก...ลองชิมดูแล้ว รสชาติหวานครับ กล่องละ 10 บาทเท่านั้น

สินค้าแต่ละอย่างราคาไม่แพง  5 บาท 10 บาท


        เจ้านี้ผมขอเรียก "ก๋วยเตี๋ยวแห้งยำ" ครับ ชาวบ้านเรียกอีกอย่างผมฟังไม่เข้าใจเท่าไหร่  ในถ้วยมี..เส้นหมี่เหลือง ผักกะหล่ำปลีซอย ถั่วฝักยาว ส่วนเครื่องปรุง (ปรุงให้โดยแม่ค้า) มีแป้งถั่วป่นพม่า ซอสน้ำยำพม่า พริกป่น(เผ็ดจนขยาด) และก็รสดีไทยเหยาะนิดๆ ราคาชามเล็ก 5 บาท ชามใหญ่ 10 บาท ผมลองชามใหญ่เลยครับแฮ่ๆๆ...ทานเกือบหมด เกรงใจแม่ค้าเขา รสชาติคล้ายกับข้าวแรมคืนพม่าครับ ใครเคยลองแล้วคงเข้าใจ รสออกเปรี้ยว เผ็ด มัน..ครับ





     "ขนมว๊อง ร้อยตอก" ผมขอเรียก "โดนัทป่า" ทำจากแป้งข้าวเหนียว ตีเป็นวง แล้วนำมาทอด ร้อยตอกขาย มีความเป็นธรรมชาติมาก พวงละ 5 บาท มี 5 ชิ้น รสชาติออกแบบจืดมัน มีความเหนียวหนึบในตัว

แม่ค้าตัวน้อยอีกคน น่ารักมาก  ขาย "ถั่วลิสงคั่ว" ถุงละ 5 บาท ซื้อตุนไว้หลายถุงเลย 

ที่พักของเราคืนนี้ นอนค้างในโรงเรียน ตชด.บ้านเลตองคุ



กลุ่มไอน้ำหนาวๆ ยามเช้าๆ ลำห้วยหลังโรงเรียน


ครู ตชด.และนักเรียน เวลา 8 โมงเช้าหลังเคารพธงชาติ


       หลังทานมื้อเช้าเสร็จ..เรามุ่งหน้าต่อไปยังที่หมายหลัก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์..สำนักหรืออาศรมฤาษี" เพื่อชมบารมีงาช้างศักดิ์สิทธิ์ อายุเก่าแก่ หลายร้อยปี



         "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์..สำนักหรืออาศรมฤาษี"  สถานที่ตั้งอาศรม แยกตัวออกมาต่างหากจากหมู่บ้าน ทันทีที่เราสอบถามเส้นทางในหมู่บ้าน มีศิษย์ฤษีท่านหนึ่งอาสามาส่ง ช่างมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีงาม โดยเราจัดให้ขึ้นนั่งตอนหน้า คู่คนขับแลนด์โรเวอร์เลย


ทางเข้า .. "สำนักหรืออาศรมฤษี" โดยผู้ที่จะเข้าไปต้องถอดรองเท้าแล้วเดินตามระเบียงทางเดิน


"ป้ายแสดงกฎระเบียบข้อห้าม ของสมาชิกฤษีบ้านเลตองคุ"


"ระเบียงทางเดิน ไปชมงาช้างศักดิ์สิทธิ์"


หิ้วน้ำดื่มกับลูกแตงโม ไปถวายองค์ฤษี



 จุดสิ้นสุด..ผู้หญิง เข้าชมงาช้างศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงแค่นี้





               "งาช้างคู่ อันเป็นตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์"
   
       งาช้างคู่ อายุกว่า ๔๐๐ ปี (คู่ใหญ่) มีลักษณะสูงเรียว ยาว ได้สัดส่วนงดงามมาก แกะสลักลวดลายตั้งแต่โคนงาถึงปลายงาเป็นรูปพระพุทธเจ้าในอิริยาบถปางสะดุ้งมาร ประทับในซุ้มเรือนแก้วหรือซุ้มเรือนประทับ พุทธศิลป์แบบอยุธยา ฝีมือการแกะสลักชั้นครู มีความละเอียดอ่อนช้อยมาก ความยาวเมื่อกะจากระยะแล้ว ผมคิดว่าน่าจะร้อยกว่าเซนติเมตร เมื่อสอบถามแล้ว ได้ความ สูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร ส่วนปลายมีความแหลมคม  สมบูรณ์แบบ
    

  
 ฝีมือช่างแกะสลักชั้นครู มีความปราณีตวิจิตรบรรจง สวยงามมาก..พุทธศิลป์แบบสมัยอยุธยา



    สถานที่ประดิษฐ์งาช้าง เป็นลักษณะสิ่งปลูกสร้างเรือนไม้ตีฟากด้านข้าง แบบโปร่ง มีช่องลมนิดๆ มีหน้าต่างข้างละหนึ่งด้าน ด้านหน้าเปิดโล่ง ไม่มีประตูเปิด-ปิด ดูแล้วไม่มีระบบนิรภัยใดๆ สำหรับผมแล้ว..."ความศักดิ์สิทธิ์ คือระบบนิรภัยนั่นเอง"


ลานด้านหลังและด้านข้างเป็นลานปะรำพิธีแห่งองค์ฤษี บุคคลภายนอกไม่อนุญาตให้ล่วงล้ำ



ลานประกอบพิธีกรรม..แห่งองค์ฤษี

ภาพปาฏิหาริย์แสงดวงแก้วแห่งงาช้าง 
        ถ่ายภาพด้วยกล้องคอมแพคธรรมดา เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ไม่ใช้แฟลต ปรากฏวงกลมโปร่งแสง ลอยเต็มซึ่งทุกวงมีขนาดรัศมีเท่ากันไม่ว่าจะปรากฏตรงตำแหน่งไหน และมีลักษณะเป็นวงกลมขอบเรียบมีขอบเป็นวงซ้อนเหมือนกันทุกวง แต่แตกต่างกันที่มีความเข้ม อ่อน ต่างกันตามระยะใกล้ไกลเท่านั้น  ไม่มีนิวเคลียสตรงกลาง ผมเชื่อว่าเป็นดวงแก้วแห่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ เป็นปาฏิหาริย์ของแสงแห่งงาช้าง ที่คอยพิทักษ์ปกป้องงาช้าง ซึ่งตาเปล่าเราไม่สามารถมองเห็นได้ หากนำภาพไปเปิดดูกับโทรทัศน์จอแบน ขนาดใหญ่ 42 นิ้ว ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน วางซ้อนกันสวยงาม เปรียบเสมือนกับโมเลกุลของน้ำมนต์ที่ผ่านการมนต์ด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์ของพระเกจิอาจารย์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โดยโมเลกุลของน้ำมนต์จะเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย เสมือนร่างแห ส่วนน้ำทั่วไป โมเลกุลจะไม่เรียงตัวกันและอยู่กระจัดกระจาย เช่นเดียวกันกับพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของงาช้างคู่นี้ สามารถที่จะควบคุมโมเลกุลของแสงได้ เป็น "ปรากฏการณ์แสงดวงแก้วแห่งงาช้าง"จริงๆ        
                                
                                          


พระเครื่องที่คล้องไปในวันนั้น



         น่าจะเป็น  "..พระสมเด็จแกะจากงากำจาย.." ดูแล้วบางมาก ลักษณะเป็นซีกงา ผมได้มาจาก อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อหลายสิบปีแล้ว



      คณะพระสงฆ์และชาวบ้าน เดินทางมาจากอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ผ่านเขตพม่า เส้นทางป่าเขา หุบห้วย ป่าไผ่ และโขดหิน อ้อมเข้าสู่หมู่บ้านเลตองคุ เพื่อมาชมบารมีแห่งงาช้าง






     ชื่นชมบารมีงาช้างจนอิ่มบุญแล้ว ก็เดินทางต่อไปยัง พื้นที่ตะเข็บแนวชายแดน "สุดเขตประเทศไทย บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ - แนวเขตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" ด้านท้ายหมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ



ทางแคบผ่านดงป่าหมาก



เมื่อสวนทางกัน รถอีต็อก(เกษตรยนต์) ของชาวบ้าน ก็ต้องถอยให้ทาง


ข้ามสะพานไม้เก่า




 บ้างครั้งก็ต้องปีนแบบนี้

ร่องหินลำธาร ปีนลายไม่ดี ไถลลื่น ยางฉีกแน่

แลนด์โรเวอร์ นำร่องสะบัดซ้าย-ขวา ตามแนวบังคับ แล้วเหยียบพุ่งขึ้นไปก่อน



ตามมาด้วยไทรตัน 2พัน5 Turbo เดิมๆ แต่งล้อโตนิดๆ ลาย Mud Terrain






เบียดด้านข้างให้ดีๆ

จู่ๆโผล่มาก็ถึงแล้ว ป้ายบอกแนวเขตชายแดนฝั่งนี้ "ประเทศเมียนมาร์ MYANMAR"


  อ้าวววว..! แลนด์โรเวอร์ ไม่รอเราเลย คงขับเพลินไปเที่ยวแดนเมียนมาร์ เมืองรัฐกะเหรี่ยง..ก่อนเราแล้ว ๕๕

ขับตามมาทัน ที่เขตหมู่บ้านกะเหรี่ยงพม่า(เมียนมาร์)


        พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมา จึงสอบถามเส้นทาง ถ้าไปต่อคงต้องผ่านด่านตรวจทหารพม่าแล้วโผล่ออกสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีแน่ เสบียงไม่พอ ต้องขอถอยก่อนละครับ...หลงเข้าเขตพม่า..๕๕..


ขอแอ๊คชั่นหน่อยครับ

ร่องรถอีต็อค







กลับมาเข้ามาฝั่งไทย...โล่งอก..

      การเดินทางครั้งนี้ มีความตื่นเต้นไปในตัว พร้อมกับการได้พบเห็นปาฏิหาริย์แห่งงาช้างศักดิ์สิทธิ์ สมกับความตั้งใจมา จากนี้เรายังคงมุ่งที่หมายต่อไป .."น้ำตกเลตองคุ" ความยิ่งใหญ่ในขุนเขา และห่างไกลผู้คน


โดย...คนเล่าเรื่อง ผ่านกองไฟ

2 ความคิดเห็น:

  1. บอบคุณครับ มีโอกาส จะได้เดินทางท่องเทื่ยว ใช้ข้อมูลที่ลงรูป บอบคุณครับ

    ตอบลบ