การเดินทางในช่วงฤดูหนาว กลางเดือนมกราคม ๒๕๕๗ คณะเราไปด้วยกันแค่ ๒ คัน ไปด้วยใจที่รักป่า เพื่อนำเรื่องราวมนต์ขลังแห่งป่าออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ จาก..สถานที่ที่อยู่ห่างไกลสังคมเมือง กับสภาพธรรมชาติของป่าเขาที่ร่มรื่นตามตะเข็บแนวชายแดนไทย - เมียนมาร์ เป็นการย่างเข้าสู่วันที่ 3 ของเที่ยวการเดินทางครั้งนี้
ถ้านับระยะทางจากเป็นกิโลเมตร จากเมืองตากสู่เขตอำเภออุ้มผาง น่าจะประมาณ 221 กิโลเมตร ซึ่ง ณ ปีนี้ ยังครองสถิติ..ตัวอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมากที่สุดในประเทศไทย (ใช้ระยะเวลาเดินทางเกือบ 1 วัน) และจากตัวอำเภออุ้มผาง...สู่เขต...บ้านเปิ่งเคลิ้ง ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก (สุดเขตชายแดน ไทย-เมียนมาร์) อีกประมาณกว่า 70 กิโลเมตร การเดินทางกินเวลามากกว่าที่คิดไว้ ซึ่งเป็นไปตามสภาพถนน และสภาพภูมิประเทศ...
จากบ้านเปิ่งเคลิ้ง (สุดเขตชายแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ลำห้วยแดน) หลังจากสะสมเสบียงอาหารเพิ่มเติม พอตะวันคล้อยบ่าย เราก็ต้องรีบมุ่งไปต่อยังจุดหมายต่อไปก่อนจะพลบค่ำ อันจะพลาดเสียไม่ได้ของเที่ยวการเดินทางครั้งนี้ จากเส้นทางหลักบ้านเปิ่งเคลิ้ง มีทางแยกไปตามป้ายบอก จุดสกัดมอตาลัว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง นั้นคือเส้นทางผ่าน เพื่อที่จะไปจุดหมายต่อไปของเรา ดินแดนแห่งความเร้นลับ มีมนต์ขลัง "หมู่บ้านกะเหรียงฤษีเลตองคุ"
เส้นทางแยกจากลงจากเส้นทางหลัก จุดสกัดมอตาลัว พูดคุยสอบถามชาวบ้านแล้ว การสื่อสารพูดคุยกันไม่ค่อยถนัด จึงไม่ค่อยมั่นใจในเส้นทาง พอจับใจความได้ว่าระยะทางไปบ้านกะเหรี่ยงเลตองคุประมาณ ร่วมกว่า ๒๐ กิโลเมตร
เส้นทางปูนในช่วงแรกๆ ขุนเขาตระหง่านเบื้องหน้า
ผ่านสวนต้นหมาก ป่าโปร่งในระยะแรกๆ
เข้าทางฝุ่นลูกรังชันเขาแล้ว เตรียมปรับใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 H
บรรยากาศแห่งความวังเวงที่สัมผัสได้
ลำห้วยยามนี้ ข้ามสบายหน่อย กลับไปไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย
ผ่านจุดสกัดมอตาลัว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
ไปตามเส้นทางฝุ่นลูกรัง เบียดโค้งขึ้น-ลงเขาไปเรื่อยๆ
ทิ้ง..ให้เห็นฝุ่นเลยนะ
ทางวงเวียน สูงชันอ้อมโขดหิน
มองดูแลนด์โรเวอร์ ขยับตัวเบียดทางโค้งลงไปก่อน..ป่าเงียบดีจริงๆ
ป่าเงียบกริบ ไม่มีแม้ลมพัด เป็นสัญญานราวกับว่าเรากำลังล่วงล้ำเข้าสู่ "แดนสนธยา"
เส้นทางเปลี่ยว โอบล้อมด้วยขุนเขา..อันเร้นลับ จิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้น ที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย
ที่พักริมทาง
" เนินช่องเขาขาด" พอพ้นยอดเนิน ต้องรีบหักพวงมาลัยออกซ้ายทันที...หุบเหว....ขืนพุ่งตรงไป เป็นได้กินกล้วยเป็นมื้อเย็นแน่ๆ
มองจากเนินข้างบนลงมา ...เสือไฟ..หงอยเหงาหาคู่...
ข้ามลำห้วยที่ ๒ สังเกตผงฝุ่นติดตัวรถ
เส้นทางเห็นอยู่ไกลลิบลับ แต่ไม่ยักกะเจอบ้านเรือนผู้คนเลย
ส่องเห็น แลนด์โรเวอร์ ตัวกะเปี๊ยกเดียว
ผ่านลำห้วยที่ ๓
แลนด์โรเวอร์..ล้อแบะนิดๆ ตีซะจนน้ำ(สีหมาก) กระจาย ๕๕๖๗
ถึงที่หมาย..."หมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษี เลตองคุ " ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า
"หมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ"
ภาพคลาสสิก...สุดประทับใจ...
เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว สังเกตไม่เห็นชาวบ้านเลย..ไปไหนกันหมด
ฝุ่นเต็มคันรถเลย พอจะมองเห็นโดยอาศัยที่ปัดน้ำฝน..
บนยอดดอย เห็นธงชาติ โบกสะบัดอยู่ลับๆ เลยลองขับขึ้นไปตามร่องทางสัญจรของรถอีต็อก (เกษตรยนต์) ที่เป็นนาข้าวเก็บเกี่ยวแล้ว ขึ้นไปดู พบเจ้าบ้านกะเหรี่ยงชาย จึงพูดคุยสอบถาม ปรากฎว่า วันนี้มีงานบุญ ชาวบ้านไปร่วม "งานทำบุญสุขศาลา"..กันเป็นส่วนใหญ๋ นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่จะได้เห็นงานบุญที่หมู่บ้านในหุบเขากลางป่า
" สุขศาลาอยู่ทางนู้น...! "
ชาวบ้านที่นี่นิยมเคี้ยวหมาก จะเห็นหมาก..วางตากแดดอยู่ทั่วไป
"ตะวันกำลังสั่งลาฟ้า"
ลานกิจกรรม..สุขศาลากลางหมู่บ้าน
ชาวบ้านเริ่มมารวมกลุ่มกันและวางสินค้าพื้นเมืองในงานบุญ สอบถามแล้วเราเข้าไปเที่ยวงานได้
หนุ่มสาวกะเหรี่ยงมากันเยอะมาก สังเกตผู้หญิงที่เป็นสาวยังไม่แต่งงาน จะใส่ชุดผ้าทอสีขาว
บางส่วนก็รับชมอุปกรณ์สื่อบันเทิง
"ศิลปินเดี่ยว"...ผมเอง..แฮ่..แฮ่..
กล่องบริจาคอยู่ด้านข้าง ช่วยกันบริจาคคนละเล็กละน้อย เนื่องในงานบุญ
บรรยากาศยามค่ำคืน เดินชมงานและเลือกซื้อของกินแบบชาวบ้าน
แม่ค้าตัวน้อย วัยสดใส..แห่งค่ำคืนนี้ วางสินค้าประเภท"หมากพื้นเมือง.."ทำเอง สีสันสดใส แอบดูแม่ค้าตัวน้อยทำแล้ว คล่องแคล่วดี ใช้ใบพลูวางพื้นเพื่อห่อหุ้มทีหลัง ข้างบนมี มะพร้าวคั่วน้ำตาล (มะพร้าวแก้ว) สีออกสีบานเย็น(เกือบชมพู) หมากตากแห้งซอย ปูนหมาก...ลองชิมดูแล้ว รสชาติหวานครับ กล่องละ 10 บาทเท่านั้น
สินค้าแต่ละอย่างราคาไม่แพง 5 บาท 10 บาท
เจ้านี้ผมขอเรียก "ก๋วยเตี๋ยวแห้งยำ" ครับ ชาวบ้านเรียกอีกอย่างผมฟังไม่เข้าใจเท่าไหร่ ในถ้วยมี..เส้นหมี่เหลือง ผักกะหล่ำปลีซอย ถั่วฝักยาว ส่วนเครื่องปรุง (ปรุงให้โดยแม่ค้า) มีแป้งถั่วป่นพม่า ซอสน้ำยำพม่า พริกป่น(เผ็ดจนขยาด) และก็รสดีไทยเหยาะนิดๆ ราคาชามเล็ก 5 บาท ชามใหญ่ 10 บาท ผมลองชามใหญ่เลยครับแฮ่ๆๆ...ทานเกือบหมด เกรงใจแม่ค้าเขา รสชาติคล้ายกับข้าวแรมคืนพม่าครับ ใครเคยลองแล้วคงเข้าใจ รสออกเปรี้ยว เผ็ด มัน..ครับ
"ขนมว๊อง ร้อยตอก" ผมขอเรียก "โดนัทป่า" ทำจากแป้งข้าวเหนียว ตีเป็นวง แล้วนำมาทอด ร้อยตอกขาย มีความเป็นธรรมชาติมาก พวงละ 5 บาท มี 5 ชิ้น รสชาติออกแบบจืดมัน มีความเหนียวหนึบในตัว
แม่ค้าตัวน้อยอีกคน น่ารักมาก ขาย "ถั่วลิสงคั่ว" ถุงละ 5 บาท ซื้อตุนไว้หลายถุงเลย
ที่พักของเราคืนนี้ นอนค้างในโรงเรียน ตชด.บ้านเลตองคุ
กลุ่มไอน้ำหนาวๆ ยามเช้าๆ ลำห้วยหลังโรงเรียน
หลังทานมื้อเช้าเสร็จ..เรามุ่งหน้าต่อไปยังที่หมายหลัก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์..สำนักหรืออาศรมฤาษี" เพื่อชมบารมีงาช้างศักดิ์สิทธิ์ อายุเก่าแก่ หลายร้อยปี
"สถานที่ศักดิ์สิทธิ์..สำนักหรืออาศรมฤาษี" สถานที่ตั้งอาศรม แยกตัวออกมาต่างหากจากหมู่บ้าน ทันทีที่เราสอบถามเส้นทางในหมู่บ้าน มีศิษย์ฤษีท่านหนึ่งอาสามาส่ง ช่างมีอัธยาศัยไมตรีที่ดีงาม โดยเราจัดให้ขึ้นนั่งตอนหน้า คู่คนขับแลนด์โรเวอร์เลย
ทางเข้า .. "สำนักหรืออาศรมฤษี" โดยผู้ที่จะเข้าไปต้องถอดรองเท้าแล้วเดินตามระเบียงทางเดิน
"ป้ายแสดงกฎระเบียบข้อห้าม ของสมาชิกฤษีบ้านเลตองคุ"
"ระเบียงทางเดิน ไปชมงาช้างศักดิ์สิทธิ์"
หิ้วน้ำดื่มกับลูกแตงโม ไปถวายองค์ฤษี
จุดสิ้นสุด..ผู้หญิง เข้าชมงาช้างศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงแค่นี้
"งาช้างคู่ อันเป็นตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์"
งาช้างคู่ อายุกว่า ๔๐๐ ปี (คู่ใหญ่) มีลักษณะสูงเรียว ยาว ได้สัดส่วนงดงามมาก แกะสลักลวดลายตั้งแต่โคนงาถึงปลายงาเป็นรูปพระพุทธเจ้าในอิริยาบถปางสะดุ้งมาร ประทับในซุ้มเรือนแก้วหรือซุ้มเรือนประทับ พุทธศิลป์แบบอยุธยา ฝีมือการแกะสลักชั้นครู มีความละเอียดอ่อนช้อยมาก ความยาวเมื่อกะจากระยะแล้ว ผมคิดว่าน่าจะร้อยกว่าเซนติเมตร เมื่อสอบถามแล้ว ได้ความ สูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร ส่วนปลายมีความแหลมคม สมบูรณ์แบบ
ฝีมือช่างแกะสลักชั้นครู มีความปราณีตวิจิตรบรรจง สวยงามมาก..พุทธศิลป์แบบสมัยอยุธยา
สถานที่ประดิษฐ์งาช้าง เป็นลักษณะสิ่งปลูกสร้างเรือนไม้ตีฟากด้านข้าง แบบโปร่ง มีช่องลมนิดๆ มีหน้าต่างข้างละหนึ่งด้าน ด้านหน้าเปิดโล่ง ไม่มีประตูเปิด-ปิด ดูแล้วไม่มีระบบนิรภัยใดๆ สำหรับผมแล้ว..."ความศักดิ์สิทธิ์ คือระบบนิรภัยนั่นเอง"
ลานด้านหลังและด้านข้างเป็นลานปะรำพิธีแห่งองค์ฤษี บุคคลภายนอกไม่อนุญาตให้ล่วงล้ำ
ลานประกอบพิธีกรรม..แห่งองค์ฤษี
ภาพปาฏิหาริย์แสงดวงแก้วแห่งงาช้าง
ถ่ายภาพด้วยกล้องคอมแพคธรรมดา เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ไม่ใช้แฟลต ปรากฏวงกลมโปร่งแสง ลอยเต็มซึ่งทุกวงมีขนาดรัศมีเท่ากันไม่ว่าจะปรากฏตรงตำแหน่งไหน และมีลักษณะเป็นวงกลมขอบเรียบมีขอบเป็นวงซ้อนเหมือนกันทุกวง แต่แตกต่างกันที่มีความเข้ม อ่อน ต่างกันตามระยะใกล้ไกลเท่านั้น ไม่มีนิวเคลียสตรงกลาง ผมเชื่อว่าเป็นดวงแก้วแห่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ เป็นปาฏิหาริย์ของแสงแห่งงาช้าง ที่คอยพิทักษ์ปกป้องงาช้าง ซึ่งตาเปล่าเราไม่สามารถมองเห็นได้ หากนำภาพไปเปิดดูกับโทรทัศน์จอแบน ขนาดใหญ่ 42 นิ้ว ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน วางซ้อนกันสวยงาม เปรียบเสมือนกับโมเลกุลของน้ำมนต์ที่ผ่านการมนต์ด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์ของพระเกจิอาจารย์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โดยโมเลกุลของน้ำมนต์จะเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย เสมือนร่างแห ส่วนน้ำทั่วไป โมเลกุลจะไม่เรียงตัวกันและอยู่กระจัดกระจาย เช่นเดียวกันกับพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของงาช้างคู่นี้ สามารถที่จะควบคุมโมเลกุลของแสงได้ เป็น "ปรากฏการณ์แสงดวงแก้วแห่งงาช้าง"จริงๆ
พระเครื่องที่คล้องไปในวันนั้น
น่าจะเป็น "..พระสมเด็จแกะจากงากำจาย.." ดูแล้วบางมาก ลักษณะเป็นซีกงา ผมได้มาจาก อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อหลายสิบปีแล้ว
คณะพระสงฆ์และชาวบ้าน เดินทางมาจากอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ผ่านเขตพม่า เส้นทางป่าเขา หุบห้วย ป่าไผ่ และโขดหิน อ้อมเข้าสู่หมู่บ้านเลตองคุ เพื่อมาชมบารมีแห่งงาช้าง
ชื่นชมบารมีงาช้างจนอิ่มบุญแล้ว ก็เดินทางต่อไปยัง พื้นที่ตะเข็บแนวชายแดน "สุดเขตประเทศไทย บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ - แนวเขตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" ด้านท้ายหมู่บ้านกะเหรี่ยงฤษีเลตองคุ
ทางแคบผ่านดงป่าหมาก
เมื่อสวนทางกัน รถอีต็อก(เกษตรยนต์) ของชาวบ้าน ก็ต้องถอยให้ทาง
ข้ามสะพานไม้เก่า
บ้างครั้งก็ต้องปีนแบบนี้
ร่องหินลำธาร ปีนลายไม่ดี ไถลลื่น ยางฉีกแน่
แลนด์โรเวอร์ นำร่องสะบัดซ้าย-ขวา ตามแนวบังคับ แล้วเหยียบพุ่งขึ้นไปก่อน
ตามมาด้วยไทรตัน 2พัน5 Turbo เดิมๆ แต่งล้อโตนิดๆ ลาย Mud Terrain
เบียดด้านข้างให้ดีๆ
จู่ๆโผล่มาก็ถึงแล้ว ป้ายบอกแนวเขตชายแดนฝั่งนี้ "ประเทศเมียนมาร์ MYANMAR"
อ้าวววว..! แลนด์โรเวอร์ ไม่รอเราเลย คงขับเพลินไปเที่ยวแดนเมียนมาร์ เมืองรัฐกะเหรี่ยง..ก่อนเราแล้ว ๕๕
ขับตามมาทัน ที่เขตหมู่บ้านกะเหรี่ยงพม่า(เมียนมาร์)
พอดีมีชาวบ้านเดินผ่านมา จึงสอบถามเส้นทาง ถ้าไปต่อคงต้องผ่านด่านตรวจทหารพม่าแล้วโผล่ออกสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีแน่ เสบียงไม่พอ ต้องขอถอยก่อนละครับ...หลงเข้าเขตพม่า..๕๕..
ขอแอ๊คชั่นหน่อยครับ
ร่องรถอีต็อค
กลับมาเข้ามาฝั่งไทย...โล่งอก..
การเดินทางครั้งนี้ มีความตื่นเต้นไปในตัว พร้อมกับการได้พบเห็นปาฏิหาริย์แห่งงาช้างศักดิ์สิทธิ์ สมกับความตั้งใจมา จากนี้เรายังคงมุ่งที่หมายต่อไป .."น้ำตกเลตองคุ" ความยิ่งใหญ่ในขุนเขา และห่างไกลผู้คน
โดย...คนเล่าเรื่อง ผ่านกองไฟ
ย้อนกลับมาดู 6_2560
ตอบลบบอบคุณครับ มีโอกาส จะได้เดินทางท่องเทื่ยว ใช้ข้อมูลที่ลงรูป บอบคุณครับ
ตอบลบ