ผีม้าบ้อง
ตำนานหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผีม้าบ้อง" เป็นเรื่องเล่าประจำถิ่นเกี่ยวกับผีหรือความเชื่อ ที่ปรากฏในถิ่นล้านนาทางภาคเหนือของประเทศไทย จะว่าเป็น "ผีประจำถิ่นล้านนา" ก็ว่าได้ เพราะในภาคอื่นไม่ปรากฏว่ามีการเล่าถึง โดยผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้ที่เคยพบเจอปรากฏการณ์ผีม้าบ้อง ได้เล่าถ่ายทอดกันมาสู่ลูกสู่หลาน ผู้อยู่ใกล้ชิด ซึ่งผู้เขียน ครั้งหนึ่งเคยเข้ารับการอบรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกี่ยวกับวัฒนธรรม จารีตประเพณี ตลอดจนความเชื่อในถิ่นล้านนา ได้มีการพูดถึงความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับผีล้านนาและเรื่องตำนานผีม้าบ้อง จึงขอเล่าโดยสรุปให้ฟังถึงลักษณะของผีม้าบ้อง ประกอบคำบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้แก่ ในถิ่นแถวภาคเหนือ ถึงลักษณะของผีม้าบ้อง ดังนี้..
"ผีม้าบ้อง" เป็นลักษณะของคนที่เชื่อว่าโดนผีม้าเข้าสิง และจะอาศัยอยู่ในร่างนั้นตลอด (คล้ายกับผีกะในถิ่นล้านนาหรือผีปอบในถิ่นแถวภาคอีสาน) โดยจะชอบออกหากินเวลากลางคืนหรือช่วงพลบค่ำ บางครั้งผีม้าบ้องก็จะแปลงกายเป็นม้าบ้าง หากแปลงกายเป็นม้า เราจะได้ยินเสียงฝีเท้าม้า วิ่งกุกกุก กักกัก ประกอบเสียงร้อง ฮี้ๆๆๆ..ของม้า หรืออาจเป็นคนธรรมดาทั่วๆไป แต่ทำท่าทางการแสดงออกหรือกริยาเหมือนม้า เช่นลักษณะการวิ่งเหยาะๆ บางทีก็เอานิ้วมือแนบหู ชูสองข้าง ประกอบการส่งเสียงร้อง ฮี้ๆๆ..เหมือนม้า
ผีม้าบ้องชอบกินอาหารที่มีกลิ่นคาว เช่นเลือดสัตว์ คาวเลือดจากรกเด็ก ซากสัตว์ โครงกระดูกวัวควาย และไข่ดิบ
หากผีม้าบ้องพบอาหาร ก็จะกินเหมือนม้า โดยจะใช้ลิ้นเลียอาหาร เช่นหากพบโครงกระดูก ผีม้าบ้องก็จะเลียกินจนอิ่ม แล้วก็จะจดจำสถานที่ ที่พบแหล่งอาหารนั้นไว้ หากหิวเมื่อไหร่ มีโอกาสก็จะกลับมาเลียกินอีก เลียกินเสียจนกระดูกเรียบเป็นมัน
(คุณตาชิน ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยพบเจอปรากฏการณ์ "ผีม้าบ้อง")
เมื่อกลางปี 2555 กระผมได้ย้ายมาทำงานที่จังหวัดตาก และได้มีโอกาสคุยกับคุณตาชิน (ขอสวนนามสกุล) ปัจจุบันคุณตาชิน อายุ 65 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลน้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก ซึ่งโดยนิสัยส่วนตัวของผมชอบฟังและศึกษาเกี่ยวกับวิถีความเชื่อ เรื่องเล่าประเภทนี้อยู่แล้ว พอได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตาชิน ถึงเรื่องราวของ "ผีม้าบ้อง" ที่ท่านได้เคยมีประสบการณ์สัมผัสมา โดยคุณตาชิน ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวและประสบการณ์เกี่ยวกับผีม้าบ้อง ตามลำดับเรื่องราวพอประติดประต่อได้ว่า...
คุณตาชินเอง ดำรงชีพอยู่ด้วยการเลี้ยงสัตว์และทำปศุสัตว์เล็กๆน้อยๆ ตัวแกเองได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังปัจจุบันนี้ ตั้งแต่ปี 2521 โดยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว ลักษณะเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ กึ่งกระท่อม ล้อมด้วยรั้วสังกะสี ตอนที่แกมาอยู่ใหม่ๆนั้น ไม่มีแม้ไฟฟ้า หรือประปา น้ำดื่มน้ำใช้ต้องอาศัยบ่อน้ำผุด(ตาน้ำ) น่าเสียดายปัจจุบันโดนถมที่เพื่อสร้างถนนไปแล้ว ส่วนไฟฟ้า อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันก๊าด
คุณตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพบเจอ "ผีม้าบ้อง" (ซึ่งตัวคุณตาเองแกเรียกว่า "ผีกะม้าบ้อง")....ว่า ในค่ำคืนวันหนึ่ง เป็นวันกลางพรรษา และเป็นวันโกน (วันโกน คือ วันขึ้น 7 ค่ำกับ 14 ค่ำ และวันแรม 7 ค่ำกับ 14 ค่ำ ของทุกเดือน (หรือ วันแรม 13 ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) ซึ่งเป็นวันก่อนวันพระ 1 วัน วันพระ คือ วันขึ้น 8 ค่ำกับ 15 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำกับ 15 ค่ำ ของทุกเดือน หรือวันแรม 14 ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) หลังจากที่ได้สุมไฟไล่แมลง ไล่ยุง ให้กับ วัว ควายและต้มข้าวให้หมูในเล้าของแกแล้ว แกก็ทำธุระส่วนตัว แล้วก็เตรียมตัวจะเข้านอน สมัยก่อนนั้นเวลากลางคืนหรือช่วงพลบค่ำจะมืดมาก เนื่องจากไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า จะมีก็เพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ หรือกองไฟทีแกก่อสุมไฟไล่สัตว์ หรือก็แสงสว่างดวงเล็กๆ จากตะเกียงน้ำมันก๊าดของแกเอง
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 2ทุ่มกว่าๆ ความสงบเงียบในยามค่ำคืน จะมีก็เพียงเสียงสะบัดหางเพื่อไล่ยุงหรือแมลงของวัวควายที่แกเลี้ยงไว้ ขณะคุณตากำลังล้มตัวลงนอนได้เพียงแค่ชั่วอึดใจ หูสองข้างของคุณตาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังถนัดชัดเจน เป็นเสียงฝีเท้าคล้ายกับลักษณะการวิ่งของม้า วิ่งเหยาะ กุบกับ กุบกับ พร้อมกับเสียงร้อง ฮี้ๆ ครางอยู่ในลำคอของมัน วิ่งผ่านหน้าบ้านของคุณตา แล้วก็ค่อยๆหายเงียบไปในช่วงสุดถนน ซึ่งเป็นรอยต่ออีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่คุณตาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร คงเข้ามุ้งนอนตามปกติ ซึ่งผมได้สอบถามคุณตาแล้ว แถวนั้นมีบ้านชำแหละเนื้อสัตว์ส่งตลาดในเมือง หรือชาวบ้านเรียกว่า..เขียงเนื้อ ผมสงสัยว่าคงจะมี ซากโครงกระดูกสัตว์ถูกกองทิ้งอยู่ในหลุมแถวๆนั้น ซึ่งเป็นอาหารของผีม้าบ้อง
คืนวันต่อมา เวลาไล่เลี่ยกัน คุณตาก็ได้ยินเสียงลักษณะแบบเดียวกันอีกนั้นอีก ได้จังหวะที่คุณตายืนบนชานแคบๆหน้าบ้านพอดี จึงได้ชะโงกส่องสายตาออกไปดู ซึ่งคุณตาแกเองก็ไม่มีไฟฉายใช้ ภาพที่เห็นบวกกับแสงสลัวๆ จากดวงจันทร์ คุณตาเห็นลักษณะสัตว์คล้ายม้า ตัวสีดำใหญ่ทะมึน วิ่งเหยาะๆ ส่งเสียงร้องผ่านไป โดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดขี่บนหลังของมัน ผมได้สอบถามกับคุณตาถึงพฤติกรรมของมัน ซึ่งแกเองเล่าว่า..เมื่อมองดูมัน มันก็วิ่งไปตามปกติของมัน ไม่ได้สนใจอะไร และไม่มีปฏิกิริยาคุกคามแต่อย่างใด ผมก็ถามว่า ทำไมคุณตาไม่ตะโกนเรียกมัน.....แกบอกว่า ตัวแกเองก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่เพียงอยากรู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไรเท่านั้นเอง ผมก็คิดว่า..หากคุณตาตะโกนเรียกมัน มันคงไม่ทำอะไรคุณตาหรอก เพราะไม่ใช่ศัตรูของมัน แต่..เมื่อผีม้าบ้องรู้ว่า มีคนสงสัยและเรียกมัน มันคงไม่โผล่มาให้เห็นอีกแน่ๆ คุณตาแกเองก็คิดว่า คงเป็นม้าของใครที่ไหนซักที่ ที่หลุดคอกออกมาแล้วคงวิ่งวนเวียนหาทางกลับบ้าน แต่..คิดแล้ว ก็คงเป็นไปได้ยากเพราะละแวกแถวนั้น ไม่มีผู้ใดเลี้ยงม้าเลย แถมม้าก็เป็นสัตว์มีราคาแพงด้วย กอปรกับแกก็ไม่เคยเห็นใครจูงม้าหรือขี่ม้าผ่านหน้าบ้านเลย แม้กระทั่งในตัวเมืองตาก
คุณตาได้เล่าต่อว่า.. รุ่งเช้าแกได้ลุกมาทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ พอเสร็จแล้วจึงได้ออกมาดูร่องรอยฝีเท้าของม้าตัวนี้ แต่แกก็ไม่เห็นแม้แต่รอยเท้าม้า แม้รอยเดียว ทั้งที่ม้าก็ตัวใหญ่ทึนทึกอย่างนั้น ถนนก็เป็นทางผงฝุ่น บางวันก็เปียกเพราะฝนตก แต่ก็ไม่ปรากฏรอยเท้าม้าเลย ทั้งที่มันเองก็วิ่งผ่านตั้งหลายครั้ง หลายคืน
(บ้านคุณตาชินปัจจุบัน ถนนหน้าบ้านกลายเป็นถนนลาดยาง รั้วบ้านยังคงแบบเดิม)
เมื่อตอนคุณตามาอยู่ใหม่ๆ สภาพภูมิประเทศโดยรอบเป็นป่า มีหญ้าและต้นไม้ขึ้นรก และเป็นเขตสนามบินเก่าของญี่ปุ่นในอดีต สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นมีบ้านเรือนผู้คนอยู่แค่ 2 หลัง โดยบ้านอีกหลังเป็นหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามห่างจากบ้านคุณตา ประมาณ 200 เมตร ถนนหนทางเป็นทางฝุ่นลูกรัง แทบไม่มียานพาหนะใดวิ่งผ่าน ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาจะใช้การเดินเท้าเป็นหลัก ส่วนตัวคุณตาเองจะใช้รถสามล้อปั่นที่มีกระบะบรรทุกอยู่ด้านหน้า แกเอาไว้ใช้ปั่นไปตลาดในตัวเมืองตาก เพื่อไปรับเศษอาหาร เศษผัก มาให้หมูที่แกเลี้ยงไว้ เป็นกิจวัตรประจำวัน แทบจะกล่าวได้ว่าคุณตาอาศัยอยู่ในย่านนั้นคนเดียวโดดๆก็ว่าได้ เพราะนานๆที แกถึงจะได้มีโอกาสพบเจอกับเพื่อนบ้านคุณตาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพบเจอ "ผีม้าบ้อง" (ซึ่งตัวคุณตาเองแกเรียกว่า "ผีกะม้าบ้อง")....ว่า ในค่ำคืนวันหนึ่ง เป็นวันกลางพรรษา และเป็นวันโกน (วันโกน คือ วันขึ้น 7 ค่ำกับ 14 ค่ำ และวันแรม 7 ค่ำกับ 14 ค่ำ ของทุกเดือน (หรือ วันแรม 13 ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) ซึ่งเป็นวันก่อนวันพระ 1 วัน วันพระ คือ วันขึ้น 8 ค่ำกับ 15 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำกับ 15 ค่ำ ของทุกเดือน หรือวันแรม 14 ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) หลังจากที่ได้สุมไฟไล่แมลง ไล่ยุง ให้กับ วัว ควายและต้มข้าวให้หมูในเล้าของแกแล้ว แกก็ทำธุระส่วนตัว แล้วก็เตรียมตัวจะเข้านอน สมัยก่อนนั้นเวลากลางคืนหรือช่วงพลบค่ำจะมืดมาก เนื่องจากไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้า จะมีก็เพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ หรือกองไฟทีแกก่อสุมไฟไล่สัตว์ หรือก็แสงสว่างดวงเล็กๆ จากตะเกียงน้ำมันก๊าดของแกเอง
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 2ทุ่มกว่าๆ ความสงบเงียบในยามค่ำคืน จะมีก็เพียงเสียงสะบัดหางเพื่อไล่ยุงหรือแมลงของวัวควายที่แกเลี้ยงไว้ ขณะคุณตากำลังล้มตัวลงนอนได้เพียงแค่ชั่วอึดใจ หูสองข้างของคุณตาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังถนัดชัดเจน เป็นเสียงฝีเท้าคล้ายกับลักษณะการวิ่งของม้า วิ่งเหยาะ กุบกับ กุบกับ พร้อมกับเสียงร้อง ฮี้ๆ ครางอยู่ในลำคอของมัน วิ่งผ่านหน้าบ้านของคุณตา แล้วก็ค่อยๆหายเงียบไปในช่วงสุดถนน ซึ่งเป็นรอยต่ออีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่คุณตาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร คงเข้ามุ้งนอนตามปกติ ซึ่งผมได้สอบถามคุณตาแล้ว แถวนั้นมีบ้านชำแหละเนื้อสัตว์ส่งตลาดในเมือง หรือชาวบ้านเรียกว่า..เขียงเนื้อ ผมสงสัยว่าคงจะมี ซากโครงกระดูกสัตว์ถูกกองทิ้งอยู่ในหลุมแถวๆนั้น ซึ่งเป็นอาหารของผีม้าบ้อง
คืนวันต่อมา เวลาไล่เลี่ยกัน คุณตาก็ได้ยินเสียงลักษณะแบบเดียวกันอีกนั้นอีก ได้จังหวะที่คุณตายืนบนชานแคบๆหน้าบ้านพอดี จึงได้ชะโงกส่องสายตาออกไปดู ซึ่งคุณตาแกเองก็ไม่มีไฟฉายใช้ ภาพที่เห็นบวกกับแสงสลัวๆ จากดวงจันทร์ คุณตาเห็นลักษณะสัตว์คล้ายม้า ตัวสีดำใหญ่ทะมึน วิ่งเหยาะๆ ส่งเสียงร้องผ่านไป โดยไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดขี่บนหลังของมัน ผมได้สอบถามกับคุณตาถึงพฤติกรรมของมัน ซึ่งแกเองเล่าว่า..เมื่อมองดูมัน มันก็วิ่งไปตามปกติของมัน ไม่ได้สนใจอะไร และไม่มีปฏิกิริยาคุกคามแต่อย่างใด ผมก็ถามว่า ทำไมคุณตาไม่ตะโกนเรียกมัน.....แกบอกว่า ตัวแกเองก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่เพียงอยากรู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงอะไรเท่านั้นเอง ผมก็คิดว่า..หากคุณตาตะโกนเรียกมัน มันคงไม่ทำอะไรคุณตาหรอก เพราะไม่ใช่ศัตรูของมัน แต่..เมื่อผีม้าบ้องรู้ว่า มีคนสงสัยและเรียกมัน มันคงไม่โผล่มาให้เห็นอีกแน่ๆ คุณตาแกเองก็คิดว่า คงเป็นม้าของใครที่ไหนซักที่ ที่หลุดคอกออกมาแล้วคงวิ่งวนเวียนหาทางกลับบ้าน แต่..คิดแล้ว ก็คงเป็นไปได้ยากเพราะละแวกแถวนั้น ไม่มีผู้ใดเลี้ยงม้าเลย แถมม้าก็เป็นสัตว์มีราคาแพงด้วย กอปรกับแกก็ไม่เคยเห็นใครจูงม้าหรือขี่ม้าผ่านหน้าบ้านเลย แม้กระทั่งในตัวเมืองตาก
คุณตาได้เล่าต่อว่า.. รุ่งเช้าแกได้ลุกมาทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ พอเสร็จแล้วจึงได้ออกมาดูร่องรอยฝีเท้าของม้าตัวนี้ แต่แกก็ไม่เห็นแม้แต่รอยเท้าม้า แม้รอยเดียว ทั้งที่ม้าก็ตัวใหญ่ทึนทึกอย่างนั้น ถนนก็เป็นทางผงฝุ่น บางวันก็เปียกเพราะฝนตก แต่ก็ไม่ปรากฏรอยเท้าม้าเลย ทั้งที่มันเองก็วิ่งผ่านตั้งหลายครั้ง หลายคืน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณตาชินเองก็ได้สัมผัสกับปรากฏการณ์ผีม้าบ้องมาตลอด แต่สับเปลี่ยนเวลาการปรากฏ จากพลบค่ำเป็นช่วงเวลาประมาณ 4-5 ทุ่มบ้าง แต่เป็นที่น่าแปลกประหลาด แกบอกว่าจะได้พบเจอก็เฉพาะช่วงเวลาในวันโกน ระหว่างกลางพรรษาเท่านั้น ก่อนพรรษาหรือหลังพรรษา จะไม่มีโอกาสได้พบเจอเลย จวบจนกระทั่งความเจริญเข้ามา ถนนหนทางกลายเป็นถนนลาดยาง ตาน้ำผุดถูกกลบถม ประชาชนเริ่มเข้ามาอยู่หนาแน่นขึ้น ผืนป่าถูกทำลาย ปรากฏการณ์ผีม้าบ้องจึงสูญหายไป เหลืออยู่เพียงแค่เป็นเรื่องเล่า ที่ผมได้จดบันทึกอยู่ในครั้งนี้นี่เอง
โดยความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ผมคิดว่าผีม้าบ้องก็คือผีม้าหรือวิญญาณของม้า นั่นเอง เนื่องด้วยในสมัยก่อน "ม้า" มีบทบาทในการศึกสงครามอยู่ไม่น้อย เสียชีวิตแบบทรมานด้วยคมหอก คมดาบ แบบอารมณ์เจ็บปวด ทุกข์ ทรมาน จิตวิญญาณจึงยังคงอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความเจ็บปวด ความเคียดแค้นพยาบาท เป็นการตายแบบยังไม่ถึงคราว หรือที่เราเรียกกันว่า ตายโหง จิตวิญญาณจึงกลายเป็นสัมภเวสี ล่องลอยชดใช้กรรมอยู่จนกว่าจะหมดกรรม ได้ไปผุดไปเกิดใหม่
ปัจจุบันนี้ ไม่มีการใช้ม้าทำศึกสงครามกันแล้ว ปรากฏการณ์ผีม้าบ้องยุคปัจจุบัน จึงไม่มีใครได้พบเห็น หรือหากจะมีโอกาสพบเห็นก็คงจะน้อยครั้งมาก บางทีคนที่พบอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..นั่นคือ...."ผีม้าบ้อง"
ด้วยจิตคารวะ...จากผู้เขียน
ด้วยจิตคารวะ...จากผู้เขียน
เพื่อนผมก้เจอ
ตอบลบเพื่อนผมก้เจอ
ตอบลบเพิ่งเคยอ่านค่ะ สนุกดี
ตอบลบ