พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าข้างกองไฟ...ตอน...พรานกะเหรี่ยงผู้เผชิญผีเจ้าป่า ที่ป่าใหญ่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก

   พรานกะเหรี่ยง..ผู้เผชิญผีเจ้าป่า ป่าใหญ่อุ้มผาง จ.ตาก
    ยินดีให้นำไปเล่าต่อ โดยเอ่ยชื่อผู้เขียน... เนื่องจากเรื่องเล่าแต่ละเรื่อง ต้องมีการเดินทางไปพบและได้เจอมา....จึงได้นำมาเขียน มาเล่า ...เป็นการให้เครดิตแก่กัน และกัน ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
เขียนโดย.....

ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย รอง สวป.สภ.เมืองตาก

"นักเดินทางเข้าป่าและเล่าเรื่อง"

เล่าเรื่อง กล่าวนำ...
(ป่าใหญ่)


(ไก่ฟ้าหลังเทา)
     ป่า...ตามแนวตะเข็บชายแดนไทย - พม่า แถบบริเวณอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ย้อนหลังไปเมื่อราวๆ 20 -30 กว่าปีที่ผ่านมา ล้วนแต่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุมหนาแน่น ผืนป่า..มีไม้น้อยไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่นอย่างอุดมสมบูรณ์เขียวขจีไปทั่วหุบเขา เป็นแหล่งที่มาของความเชื่อ เรื่องเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลึกลับต่างๆ ทั้งภูตผี เทวดาอารักษ์ ผีป่า นางไม้ จากปากของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกแถบนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าของคนตัดไม้ หรือในหมู่พรานป่าที่เล่าขานสืบต่อกันมา มีทั้งภูตผีที่ให้คุณ ภูตผีที่ให้โทษ หรือเหล่าเทวดาอารักษ์ ที่คอยพิทักษ์ปกป้องผืนป่า สัตว์ป่า..
                 

(พรรณไม้ใหญ่แห่งป่าดิบทึบ)
       ผม..ได้มีโอกาสท่องป่า เดินป่ามาก็หลายครั้ง หลายป่า หลายพื้นที่ แต่เป็นไปเพื่อใจรักในการผจญภัยทางธรรมชาติเท่านั้น มิได้เข้าป่าเพื่อเจตนาในการล่าสัตว์หรือเพื่อทำลายให้เสื่อมค่าหรือนำของป่าออกมาเพื่อการค้าแต่อย่างใด จวบจนกระทั่งครั้งหนึ่ง....ได้มีโอกาสเดินทางไปท่องป่าในแถบชายแดนไทย-พม่า แถวๆเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก อำเภอที่ห่างไกลจากตัวจังหวัด คือจังหวัดตาก ถึงประมาณกว่า ๒๒๐ กิโลเมตร ที่ที่ได้ชื่อว่ามีผืนป่าและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย จึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าข้างกองไฟในครั้งนี้ ซึ่งผมได้ยิน ได้ฟังและสอบถามมากับปากของผมเอง จากผู้เฒ่าจีเว อดีตนายพรานกะเหรี่ยงผู้กลับใจเลิกเข้าป่าเลิกล่าสัตว์ตลอดชีวิต หลังจากเหตุการณ์ที่เคยเผชิญ "ผีเจ้าป่าหรือผีเจ้าที่..."แห่งป่าดงดิบใหญ่อุ้มผาง เขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นเรื่องจริง..ที่ท่านผู้เฒ่า...ได้ประสบกับสิ่งลี้ลับในป่า ประกอบกับการปรุงแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มเติมจากผม..ผู้เขียน เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านโดยเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ ยังคงเค้าโครงเนื้อเรื่องจริงจากปากคำบอกเล่าของท่าน "ผู้เฒ่าจีเว..." อดีตนายพรานกะเหรี่ยง ผู้ชำนาญป่า เจตนาในการเขียนเรื่องนี้ มิได้มีเจตนาที่จะกระทบต่อผู้หนึ่งผู้ใดให้เสียชื่อเสียงหรือมิได้สนับสนุนให้มีการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการล่าสัตว์ป่า แต่ปราถนาให้เกิดการหยุดกิน หยุดล่า หยุดฆ่า สัตว์ป่า อยากให้ทุกคนหันกลับมาหวงแหนธรรมชาติที่นับวันจะเหลือพื้นที่ป่าน้อยลงไปทุกที หากป่าหมด เรื่องเล่าต่างๆที่เกี่ยวข้องกับป่าก็คงหมดตามไปด้วย มนุษย์จะอยู่ตามลำพังโดยไร้ป่านั้นเป็นไปได้ยาก ทุกสรรพชีวิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อการคงอยู่อย่างยั่งยืนและเกื้อกูลกันตลอดไป.......

      ขอน้อมจิตคารวะและกราบขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าจีเว..ผู้เฒ่าชาวกะเหรี่ยง ที่ช่วยให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ป่าและสัตว์ป่า ถึงแม้จะเป็นเสียงอันน้อยนิดก็ตาม.....(แจ๊คกี้ ชาติ มหาไม่ได้บวช)

ต้อนรับแขกผู้มาเยือน...

        ในช่วงค่ำของคืนวันหนึ่ง ปี 2557 ปลายเดือนมกราคม ณ ข้างกองไฟ ที่สุมอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่ง แห่ง "หมู่บ้านเซอทะ" หมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางหุบเขาแห่งป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ความหนาวเหน็บของสภาพอากาศที่อำเภออุ้มผาง ในค่ำคืนนี้ มันช่างหนาวเย็นเข้าจับขั้วหัวใจของผู้มาเยือนแปลกถิ่นอย่างตัวผมซะจริงๆ หนาวซะจนไม่อยากจะลุกหรือเคลื่อนย้ายร่างกายไปที่แห่งไหน อยากจะนั่งผิงไฟอยู่ข้างกองไฟให้ร่างกายอบอุ่นไปตลอดชั่วค่ำคืนนั้น    
      ผู้เฒ่าจีเว อดีตนายพรานกะเหรี่ยงมือขมังที่สุดแห่งหมู่บ้านเซอทะ ผู้เป็นเจ้าของบ้านและให้ที่พักพิงแก่ผมในยามค่ำคืนนี้ โดยผู้เฒ่า..มีอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกผู้มาเยือนเป็นอย่างดี จัดการเลี้ยงต้อนรับแขกบ้าน โดยในค่ำคืนนี้มีต้มไก่บ้าน ปรุงรสแบบง่ายๆด้วยผลมะขามเปียก ต้มกินเป็นกับแกล้ม ซึ่งเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในแทบทุกบ้าน พร้อมกับสุราอย่างดี ที่ผมนำติดมือมาด้วย ทั้งฤทธิ์ดีกรีของสุราบวกกับแกล้มช่วยเพิ่มอรรถรสในการสนทนาดูเป็นจริงเป็นจัง ช่วยทำให้อารมณ์คล้อยตามเนื้อเรื่องในการสนทนาได้เป็นอย่างดี เราพูดคุยกันถึงเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละบุคคล เป็นการแนะนำตัวกันพอหอมปากหอมคอ พร้อมกับผมได้เปิดประเด็นถึงการเดินทางมาท่องป่าอุ้มผางในครั้งนี้ ผู้เฒ่า..คงมองเห็นว่าผมรักการเดินทางท่องป่าจริงๆ และมองเห็นมิตรภาพแท้จริงจากแขกผู้มาเยือน จึงประสงค์ที่จะเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์ การเดินป่าล่าสัตว์ของท่านผู้เฒ่า...ในอดีต จวบจนกระทั่งสาเหตุของ...การเลิกอาชีพนายพรานไปตลอดชีวิต หลังจากเหตุการณ์ที่เผชิญผี....ทีแกเรียกว่า..."ผีเจ้าป่า"

ย้อนรอยอดีตผู้เฒ่าจีเว กับหมู่บ้านกะเหรี่ยงเซอทะ...

     ผู้เฒ่าจีเว อดีตนายพรานกะเหรี่ยงมือขมังที่สุดแห่งหมู่บ้านเซอทะ  อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ด้วยวัยปัจจุบันเกือบ 70 ปี แกเล่าเรื่องย้อนรอยครั้นการได้เข้าป่าล่าสัตว์ในแถบป่าใหญ่อุ้มผางว่า....ตัวผู้เฒ่าเองเป็นคนหมู่บ้านเซอทะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตัวแกแต่งงานแล้ว มีลูกสาวสวยอยู่ 2 คน ซึ่งต่างก็ออกเรือนกันไปหมดแล้ว นานๆจึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านซักที ชาวบ้านส่วนใหญ่ในแถบนี้ ตั้งแต่ครั้นในอดีตล้วนดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการเกษตรกรรม เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ประเภทวัว ควาย  การเก็บหาของป่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปเพียงเพื่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัวเท่านั้น บางครั้งก็มีการเดินทางเข้าไปในตัวอำเภออุ้มผาง เพื่อการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือสิ่งของอุปโภค บริโภคที่จำเป็น เช่นยารักษาโรค เกลือ น้ำปลา น้ำมันก๊าด ....กับพ่อค้าหรือคนพื้นเมือง ในสมัยนั้นการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนชาวบ้านแทบจะไม่ได้เดินทางไปในต่างท้องที่เลย ซึ่งในสมัยก่อนต้องอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก รถยนต์โดยสารขนาดเล็ก นานๆจะผ่านมาที

เริ่มต้นชวิตพรานไพร......

     ครั้นแกแต่งงานแล้ว ราวๆอายุได้ประมาณ 20 กว่าปี แกได้แยกตัวออกมาจากครอบครัว ย้ายมาปลูกบ้านอยู่อาศัยเอง เป็นเรือนไม้ฟากธรรมดา ปูพื้นด้วยไม้ไผ่ โครงหลังคาใช้ลักษณะการมุงด้วยหญ้าแฝกปนใบตองตึงหรือใบไม้เต็งรัง แบบบ้านชาวไทยภูเขาทั่วๆไป โดยปลูกบ้านอยู่บนเนินดินท้ายหมู่บ้าน มีต้นมะขามใหญ่ให้ร่มเงาพอกันแดดได้บ้าง โดยมีบ้านของเพื่อนบ้านอีกหลังหนึ่ง ปลูกอยู่ติดถัดกัน แต่เพื่อนบ้านก็ต้องด่วนมาจากไปซะก่อนด้วยจากเหตุไฟไหม้บ้านแล้วถูกไฟคลอกตาย ทิ้งให้แกอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้กับภรรยาเพียงสองคน จากจุดนี้เองแกได้เริ่มชีวิตการเป็นพรานไพรเพื่อทำหน้าที่แห่งผู้นำในการหาเลี้ยงครอบครัว เป็นการเริ่มต้นสู้ชีวิต หาเลี้ยงชีพด้วยวิชาพรานไพร ที่เคยได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ จากรุ่นสู่รุ่น อาวุธประจำตัวที่แกใช้ล่าสัตว์มีเพียงอย่างเดียวคือ...ปืนแก๊ปแบบด้ามสั้น ลำกล้องไม่ยาวมากนัก เพื่อความคล่องตัวในการถือหรือนำพา ตัวผู้เฒ่า..บอกว่า..ด้วยเพราะขนาดของปืนแก๊ปนี่แหละ ที่แกเองใช้ไม่เหมือนพรานคนอื่นเขาใช้กัน เนื่องเพราะมันมีขนาดสั้นกว่าปืนแก๊ปทั่วไป เวลาแกเข้าป่าล่าสัตว์จึงต้องไปคนเดียว เพื่อไม่ให้สัตว์ป่าตื่นหรือที่เรียกกันว่าป่าตื่น และต้องอาศัยความชำนาญในภูมิประเทศบวกกับความกล้าหาญ ค่อยๆย่องเงียบด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา พร้อมกับประกอบการดูทิศทางลม ก่อนจะค่อยเคลื่อนที่เข้าไปหาสัตว์ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระยะหวังผลของปืนสั้น ต้องเข้าให้ใกล้ตัวสัตว์ให้มากที่สุด จึงทำให้แกเข้าป่า แล้วได้เนื้อกลับมาทุกครั้ง ในการดูทิศทางลมแกเล่าว่า...หากบรรยากาศเงียบ ไม่มีลมพัดกิ่งไม้ ใบไม้เพื่อจะดูทิศทางลมแล้ว แกจะใช้นิ้วชี้จุ่มน้ำหรืออมให้เปียก จากนั้นแกก็จะชูนิ้วชี้ขึ้น ให้สัมผัสกับอากาศ หากข้างใดข้างหนึ่งรู้สึกเย็น แสดงว่านั่นคือทิศทางลม หรือไม่ก็โปรยฝุ่นขึ้นไปในอากาศ ดูทิศทางลมพัด ด้วยเทคนิกบวกกับฝีมือในการยิงสัตว์ของแก โด่งดังจนเป็นที่รู้กันไปทั่วในหมู่นายพรานและชาวบ้าน ถึงกับยกให้พรานหนุ่มจีเว...ในสมัยนั้น เป็นนายพรานมือหนึ่ง มือฉมังของหมู่บ้านเซอทะและละแวกใกล้เคียง จนได้รับเกียรติให้เป็น..นายพรานใหญ่ และทุกครั้ง หากพรานหนุ่มจีเว...จะเข้าป่าล่าสัตว์ จะต้องมีบรรดานายพรานคนอื่นๆ มานั่งคอยอยู่ตรงลานหน้าบ้านแก เพื่อขออาศัยเข้าป่าล่าสัตว์ด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธจากนายพรานใหญ่..พรานหนุ่มจีเว...ทุกครั้งไป

กระรอกป่ากับผลมะขามป้อม
 
ผูกเปล...เป็นห้างล่าสัตว์......ใช้ภูเขาจดจำทิศ......

     ผู้เฒ่า....เล่าเรื่องราวในอดีตต่อโดยไม่มีการติดขัดเลย เหมือนราวกับว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ ด้วยความทรงจำอันเป็นเลิศ ก่อนจะทิ้งท้ายไว้เพื่อหยุดพักสักครู่ ทิ้งให้ผมอารมณ์ค้างสะดุดเพราะขาดช่วงนี่ละ..แหม....กำลังสนุกได้เรื่องเชียว  พอดีผมเหลือบไปเห็นแก้วสุราของแกใส..ว่างเปล่า ผมจึงรีบรินสุรายีห้อดีใส่แก้วให้แก แหม...ที่แท้แกหยุดเล่าเรื่องก็เพื่อต่อยอดดีกรีสุรานี่เอง ไอ้ผมก็ฟังซะเพลินจนลืมหน้าที่ แฮะๆ พลางขอโทษขอโพย พร้อมกับรีบยื่นแก้วเพื่อต่อยอดดีกรีสุราให้แก  ผู้เฒ่า....รับแก้วไว้ในมือ พร้อมกับอีกมือหนึ่งเอื้อมหยิบดุ้นฟืน จัดการเขี่ยขี้เถ้าในกองไฟที่กำลังริบหรี่พร้อมควันโขมง จัดการสุมไฟพร้อมกับเป่าไล่จนเปลวไฟเริ่มลุกโชน เพื่อไล่ความหนาวเหน็บ ที่หนาวซะจนไอแห่งความหนาวที่ออกจากปากเวลาเราสนทนากัน กลมกลืนเป็นสีเดียวกันกับควันไฟ  พร้อมกันนั้นผมขอตัวอนุญาตไปทำธุระส่วนตัวซักครู่ ก่อนจะรีบกลับมานั่งใช้มืออิงผิงไฟ ฟังผู้เฒ่า..เล่าเรื่องต่อ....
   ผู้เฒ่า... เล่าต่อว่า....แกดำเนินชีวิตด้วยการหากินและเลี้ยงครอบครัวด้วยการเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ เวลาแกเข้าป่าล่าสัตว์ แกบอกว่าไม่เคยหลงป่าหรือว่ากลัวหลงป่าเลย เพราะแกตั้งสัจจะไว้ว่า...จะเดินป่าเฉพาะในตอนกลางวันเท่านั้น และโดยอาศัยการจดจำยอดเขาสูงฝั่งทางทิศตะวันตกเป็นหลักในการใช้กำหนดทิศ แต่จะต้องหยุดและหาที่พักค้างแรมในป่าก่อนพลบค่ำ อ้อ....ผมเข้าใจแล้วว่า...แกจะไม่เดินทางในป่าตอนกลางคืน เพราะกลัวหลงป่าและกลัวเป็นอันตรายนั่นเอง พอตกค่ำจึงต้องรีบหาที่พักนอน แกบอกว่า...ป่ามันมืดมาก เต็มไปด้วยอันตรายจากทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็นตัว  โดยสถานที่นอนของแก แกจะหาทำเลที่เป็นต้นไม้ใหญ่พอประมาณ อยู่ติดกันในระยะที่เชือกผูกเปลสามารถมัดขึงถึงกันได้ พรานใหญ่จีเว....นอนเปลแบบง่ายๆ สูงพอเพื่อไม่ให้สัตว์อันตรายเข้าถึงตัวได้ ผมจึงขออนุญาตตัดบทแทรกถาม...."แล้วผู้เฒ่า...ล่าสัตว์หรือยิงสัตว์อย่างไร"   แกเล่าว่า...แกไม่มีการนั่งห้างยิงเหมือนคณะพรานชุดอื่น แกบอกว่ามันยุ่งยาก ส่วนตัวแกเองนั้นหากในขณะเผอิญเดินไปพบเจอสัตว์เข้า ก็จะค่อยๆย่องเงียบหาจังหวะเข้าไปยิงใกล้ๆ หรือถ้ายังไม่เจอสัตว์ที่จะให้ยิง แกก็จะหาทำเลที่คาดว่าสัตว์ป่าจะเดินผ่านหรือออกมาหาอาหาร เช่นแถวๆด่านสัตว์ ริมน้ำริมลำธารหรือบริเวณดินโป่งต่างๆ ที่สัตว์ป่าออกมาหากิน  จากนั้นแกก็จะหาที่ผูกเปล ในตำแหน่งไม่สูงมากนัก แกบอกว่า"นี่แหละคือห้างล่าสัตว์ของแก" โดยตัวแกเองจะแอบหมอบอยู่ในเปล พอสัตว์ป่าเข้ามาใกล้อยู่ในระยะยิงหวังผล แกก็จะค่อยๆโผล่ศรีษะแล้วเอาปืนพาดขอบเปล..ยิงสัตว์โดยที่มันไม่อาจทันมองเห็นตัวพรานจีเว แกบอกว่า..."ในระยะนี้ ไม่มีพลาด" หลังจากแกยิงสัตว์ได้ แกก็จะรอจนรุ่งสางของอีกวันโดยไม่ลงจากเปลเลย ด้วยสัจจะที่ว่าจะไม่เดินป่าตอนกลางคืน ต้องรอจนตะวันขึ้นก่อน แล้วแกก็จะลงมาแบกสัตว์ป่าที่แกยิงได้กลับเข้าหมู่บ้านในตอนสายๆของวันเดียวกัน แกเล่าพร้อมกับสำทับว่า ..ป่าพื้นที่แถบนี้อุดมสมบูรณ์มาก มีสัตว์ป่าชุกชุม อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ทั้งสัตว์นักล่า เช่น เสือโคร่งเจ้าป่า หมี  เสือไฟ งูใหญ่เป็นต้น สัตว์ผู้ถูกล่าหรือสัตว์ซึ่งเป็นเหยื่อสัตว์นักล่า เช่นเก้ง กวาง หมูป่า ไก่ปา ลิง ค่าง บ่าง ชะนี สัตว์หายากอีกนานาชนิดเช่น..ไก่ฟ้า กระทิง นกเงือก เลียงผา...  

(เก้งหรือฟาน)
    แกเข้าป่าทุกครั้งเป็นต้องได้เนื้อสัตว์ป่ากลับมาฝากภรรยาทุกครั้ง แต่ก็เพียงเพื่อการเลี้ยงดูครอบครัวเท่านั้น พอยิงได้สัตว์แกก็กลับบ้านเลย ไม่เคยคิดที่จะล่าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หวังที่จะเอาไปส่งร้านอาหารป่าในตัวอำเภอตามใบสั่งหรือเอาไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินทอง ขอเพียงเพื่อให้ครอบครัวมีกิน มีใช้ตามความจำเป็นก็เพียงพอ จวบจนกระทั่งภรรยาแกได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนแรก และบุตรสาวคนที่สองในอีกสองปีถัดมา พรานหนุ่ม..จีเว จึงเริ่มห่างป่า นานๆทีถึงจะเข้าไปป่าซักครั้งหนึ่งในยามขาดแคลนเนื้อ หรือขาดแคลนในเครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็น เพราะต้องการใช้ช่วงเวลาระยะนี้ อยู่กับครอบครัวและเล่นกับบุตรสาวทั้งสองที่กำลังน่ารัก น่าอุ้ม ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่เข้าป่าเลย...

 อัศจรรย์ พบ...คดไม้ไผ่

     การเดินทางเข้าป่าจำต้องเดินผ่านป่าไม้ใหญ่ ไม้น้อย แผ่กิ่งก้านระเกะระกะ ด้วยความรกทึบของสภาพผืนป่าดงดิบ ทำให้การเดินเท้าค่อนข้างยากลำบาก บางครั้งจำต้องเลือกเดินผ่านดงป่าไผ่ซึ่งเดินเท้าได้ง่ายกว่า เพราะพื้นด้านล่างจะมีบางส่วนที่โล่งและปกคลุมด้วยใบไผ่ที่ร่วงลงสู่พื้นดิน ทำให้เดินได้คล่องตัวและนุ่มกว่า ....วันหนึ่ง พรานหนุ่มจีเว..ได้ใช้เส้นทางผ่านกอไผ่หมู่ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเบียดเสียดกัน บางกอหลังจากออกช่อดอกแล้วลำปล้อง ใบก็เหี่ยวแห้งอับเฉาตายไปเป็นธรรมดา จนกระทั่งพรานหนุ่มจีเว..ได้เดินมาเจอกอไผ่ลำปล้องใหญ่กอหนึ่งที่เริ่มเหี่ยวแห้ง เหลืองเฉาตาย แต่...ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของนายพรานผู้ล่า...พลัน...สายตามาสะดุดที่ลำไม้ไผ่ปล้องใหญ่ปล้องหนึ่ง ที่มีความแปลกประหลาด คือ...เป็นลำไม้ไผ่ที่ข้อปล้องอื่นในลำเดียวกันเหลืองแห้งตายกันหมด แปลก....กลับเหลือแต่ปล้องตรงกลางที่ยังไม่แห้งตาย..กลับมีสีเขียวเหมือนปกติและปรากฏมีรากฝอยและกิ่งแขนงเล็กๆ โผล่งอกออกมาเต็มตรงช่วงคั่นระหว่างข้อปล้อง พรานหนุ่มจีเว..มีความงุนงง สงสัยว่า..มันมีอะไรอยู่ข้างใน จึงตัดสินใจใช้มีดพร้าที่แกพกพาติดตัว ผ่าดู...ปรากฏมีน้ำใส..ไหลเย็น..ไหลทะลักแตกออกมาเต็มกระบอกลำไม้ไผ่นั้น "น้ำ..มันเย็นขนาด เหมือนกับแช่น้ำแข็งเลย" ผู้เฒ่าเอ่ยบอก...ตอนแรก..แกบอกว่าไม่พบเห็นวัตถุอะไรแปลกๆไหลออกมากับน้ำเลย ซึ่งตอนแรกแกคิดว่า..มันคงจะมีอะไรขนาดใหญ่อยู่ข้างใน แต่พอน้ำซึมดินเหือดแห้งแกจึงเพ่งพินิจดูให้ละเอียดอีกครั้ง ปรากฏพบ..."ก้อนหินขนาดเล็ก สีออกเทาดำกึ่งเขียวเข้ม ลักษณะเรียวรี ผิวเกลี้ยงเกลาราวกับถูกขัดถู กลึงรี แล้วนำมาบรรจุไว้" ขนาดเล็ก...ใหญ่ประมาณสองเท่าของเมล็ดข้าวเปลือก ซึ่งผู้เฒ่า...บอกผมว่าเป็น "คดไม้ไผ่" แก..มีความตื่นเต้น ดีใจมาก ที่ได้พบเจอ จึงยกมือไหว้กล่าวขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขา พร้อมกับนำติดตัวกลับออกมาด้วย..

 เผชิญหน้าเจ้าป่า....เสือโคร่งลายพาดกลอน..ตัวเท่าม้า......
   
    ผู้เฒ่า... เล่าถึงเหตุการณ์น่าตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของการเป็นนายพราน ตอนเผชิญหน้ากับ"เสือโคร่งลายพาดกลอน" ตัวสูงใหญ่ขนาดประมาณเท่ากับม้า แกเล่าว่า...หลังจากแกห่างป่าได้พักใหญ่ๆ ในที่สุด วิถีแห่งพรานไพรก็กลับมาเป็นปกติอีก ในตอนสายวันหนึ่ง แกก็เตรียมตัวที่จะเข้าป่าล่าสัตว์อีกเหมือนเช่นเคย โดยภรรยาจัดการหุงหาอาหาร เพื่อให้แกใช้เป็นเสบียงในการเดินทาง หลังจากจัดการกับอุปกรณ์ในการเดินทางเข้าป่า พร้อมกับเตรียมเสบียงให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พรานหนุ่ม...จีเว ก็เริ่มออกเดินทางเข้าป่า ใช้เวลาเดินเท้าในป่าราว 6 ถึง 7 ชั่วโมง แหงนมองท้องฟ้าตะวันเริ่มจะชิงพลบแล้ว แสงของพระอาทิตย์ยามผีตากผ้าอ้อม มองดูแล้วสวยงามมาก แต่ก็ปนความรู้สึกวังเวงยังไงพิกลๆ ได้เวลาหาทำเลที่พักค้างแรมก่อนจะที่จะมืดค่ำเสียก่อน คราวนี้พรานหนุ่ม..จีเว ได้ทำเลที่พักค้างคืนใกล้ๆด่านสัตว์กว้างใหญ่ ...ลักษณะเป็นทางโป่งดินกว้าง..มีรอยเท้าสัตว์หลากชนิดเหยียบย่ำไปมา จนหญ้าเฉาตายเหลือแต่ดินโล่งกว้าง กลายเป็นด่านสัตว์หรือทางสัญจรสัตว์ หลังจากจัดการกับมื้อค่ำแล้ว ก็จัดการผูกขึงเปล แล้วแอบไปหลบนอนซุ่มอยู่เหมือนเคย รอ...แล้วก็..รอ....รอจังหวะที่หมายมั่นว่าจะได้เนื้อกลับบ้าน...ดังเช่นเคย

ดงป่าทึบ...

     ผู้เฒ่า..เล่าว่า เวลาผ่านไปราวชั่วโมงกว่าๆ น่าจะประมาณหลัง 6 โมงเย็น ความมืดกับความเงียบสงัดแห่งป่าเริ่มคืบคลานเข้ามา ลมพัดโชยใบไม้ไหวนิดๆ ป่าทึบแต่ก็พอจะได้ยินเสียงลมปะทะยอดไม้ไผ่ ยอดไม้ใหญ่ ดังหวีดหวิว แสงแดดแบบที่เราเรียกว่าผีตากผ้าอ้อม ส่องแสงเล็ดลอดช่วงกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่มองดูอึมครึม พอจะมองเห็นเส้นลายมืออยู่บ้าง พรานหนุ่ม...จีเว รู้สึกถึงความเงียบพิกล ซึ่งปกติเวลานี้จะต้องได้ยินเสียงสัตว์ เช่นเก้ง กวาง ร้องดังในแนวป่าอยู่เป็นระยะๆ ทั้งใกล้และไกลห่างออกไป ร้องรับกันเป็นจังหวะ เสียงไก่ป่า ปกติต้องได้ยินเสียงของมันกระพือปีกแหวกกอไม้พุ่มไม้ หาที่หลับที่นอนดังแขวกๆ ไปหมด แต่เอ๊ะทำไม.... ในยามค่ำนี้มันช่างเงียบเชียบราวกับว่า สัตว์ป่ามันรับรู้กันถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงพากันเก็บตัวเงียบไปทั้งป่า...

    ผู้เฒ่า...เล่าเรื่องต่อ พร้อมกับหยิบแก้วสุราเร่งดีกรีเข้าไปอีก ก่อนจะใช้ช้อนตักซดน้ำต้มไก่ติดหนังไก่พอได้เคี้ยว รสหวานอมเปรี้ยวของมะขามเเปียกที่ใช้ปรุงรส มันช่างตัดกับรสสุราได้เป็นอย่างดี ...แก...เล่าต่อ.....พรานหนุ่ม...จีเว เริ่มจะรู้สึกแล้วว่ามันแปลกๆพิกล แต่ก็ต้องดักซุ่มรอต่อไป คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก คงเป็นไปตามธรรมชาติ ....แต่.........สักพัก...ในแนวป่าใหญ่สลับพุ่มไม้เตี้ยข้างหน้า บางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว สังเกตจากยอดพุ่มไม้เตี้ย สั่นไหวไปมา แกจึงค่อยๆเอื้อมมือหยิบอาวุธคู่กาย ...ปืนแก๊ปขนาดสั้น ออกมาวางพาดบนขอบเปล แล้วเล็งปลายปากกระบอกปืน ไปยังเป้าหมายที่กำลังเห็นเคลื่อนไหวอยู่ แกคิดว่า..ไม่เก้งใหญ่ก็กวางเขางามล่ะงานนี้ เพราะพุ่มไม้สูงใหญ่ขนาดนี้.. แต่.........พอเจ้าสัตว์ป่าตัวนั้นโผล่ออกมาจากแนวพุ่มไม้ แกก็พอจะมองเห็นว่า ตัวมันรูปร่างสูงใหญ่ ขนาดพอๆกับม้าตัวหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มันคือตัวอะไร เพราะความมืดที่บดบังสีสันและลวดลาย มันค่อยๆเดินเงียบเข้ามาตรงที่แกแขวนเปลแอบซุ่มอยู่.....  แล้วก็หยุดตรงหน้าแกในระยะห่างประมาณสองวาเศษๆ พรานหนุ่ม...จีเว รู้สึกว่าแขน ขา ของตัวเองเรี่ยวแรงมันไปไหนหมดไม่รู้ได้ มือไม้สั่นไปหมด เม็ดเหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผาก ทั้งที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเลย ผู้เฒ่า...เล่าต่อว่า ถึงตอนนี้แล้ว แกเกือบจะฉี่ราดขากางเกงของตัวเองซะแล้ว หัวใจเต้นแรงและหนัก เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด เพราะในระยะขนาดนี้ พรานหนุ่ม..จีเว เห็นชัดเจนแล้วว่า...เจ้าตัวที่มายืนอยู่ตรงหน้าขณะนี้มันคือ.........."เสือโคร่ง..ลายพาดกลอน" ตัวสูงใหญ่มาก ขนาดเท่าม้าเห็นจะได้ ผมก็เลยแทรกถามว่า.."ทำไมผู้เฒ่าไม่ยิงมันเลยครับ" แกบอกว่า ถ้ายิง..เราก็ไม่รอดน่ะซิ ตอนที่เห็นชัดเจนว่ามันเป็นเสือโคร่ง สมองไม่สั่งการอะไรเลย ดูตื้อไปหมดคิดอะไรไม่ออก มีแต่อารมณ์ความกลัวอย่างเดียว แล้วแกก็บอกอีกว่า..ปืนของแกเอาเสือโคร่งไม่อยู่ คงยิงได้แต่เพียงสัตว์ขนาดเล็กหรือขนาดกลางพอประมาณเท่านั้น อีกอย่าง เสือ..เป็นสัตว์ที่เล็งยิงยาก ตบะมันสูง คล่องแคล่ว ว่องไวมาก ถ้าหากยิงแล้วไม่ถูกจุดตายหรือจุดสำคัญ มันไม่ตายเราก็ตาย ..."แล้วผู้เฒ่าทำไงต่อครับ" ผมรีบถามแทรกด้วยความตื่นเต้น แกก็บอกว่า แกก็เอาแต่จ้องมองมัน โดยไม่ขยับตัวหรือทำอะไรที่เป็นการเคลื่อนไหวเลย "แล้วเสือล่ะ..พ่อเฒ่า" ผมถามยังไม่ทันสุดคำถามเลย แกก็รีบตัดบทเล่าต่อ แกว่า..เสือ....มันก็ไม่ทำอะไรเราเลย มันก็เอาแต่จ้องมองเราเหมือนกัน มองด้วยอาการธรรมดาๆ ไม่มีปฏิกริยาคุกคามเลย มองเฉยๆเท่านั้นแหละ มันคงจะสงสัยเหมือนกันว่าเราเป็นตัวอะไร หรือมันอาจจะไม่หิว หรือมันอาจจะไม่คุ้นเคยกับกลิ่นเหยื่อทีมันเคยล่า ก็เลยมองว่าเราไม่ใช่เหยื่อหรืออาหารของมัน ประมาณซัก 5 นาทีกว่าๆ  เห็นจะได้ แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานนนนน....ม๊ากกกก..มาก.. สำหรับแก แล้วในที่สุด..เสือมันก็ค่อยๆผละเดินเลี่ยงไปตามทางด่านสัตว์ หายเข้าไปในแนวป่าทึบ  "แล้วผู้เฒ่าทำไงต่อครับ" ผมยิงคำถามต่อเนื่องทันทีที่มีจังหวะ แกบอกว่า...ค่ำคืนนั้นแกก็เก็บปืน ไม่ล่าสัตว์เลย เพราะเชื่อว่าเป็นลางไม่ดี เจ้าที่เจ้าทางเขาอาจจะแปลงร่างเป็นเสือโคร่งขนาดใหญ่มาเตือนไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์ในวันนี้ จากนั้นพรานหนุ่ม...จีเว ก็รอจนรุ่งสาง จึงลงจากเปล เก็บข้าวเก็บของแล้วรีบมุ่งหน้ากลับบ้าน เป็นครั้งแรกที่พรานหนุ่มมือฉมังของหมู่บ้าน ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาฝากครอบครัวเลย.........

 เผชิญหน้าเจ้าป่า....ผีเจ้าป่า......กับการยุติชีวิตนายพราน...
     หลังจากเหตุเผชิญหน้า...เสือโคร่งเจ้าป่าแล้ว พรานหนุ่ม..จีเว ก็หยุดพักการเข้าป่าล่าสัตว์ไปหลายวัน ก่อนจะหันหน้ากลับมาเข้าป่าล่าสัตว์ตามปกติ ซึ่งแกก็ได้เนื้อสัตว์ป่ากลับมาฝากครอบครัวเหมือนเช่นเคย

       ใกล้ค่ำวันหนึ่ง ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูฝน พรานหนุ่ม..จีเว จำเป็นต้องสะสมเสบียงอาหารเก็บไว้ให้ครอบครัว ในยามฝนตกหนัก การเดินทางเข้าป่าอาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก จึงจำเป็นต้องล่าสัตว์ให้ได้ก่อนกลางฤดูฝนใหญ่จะมาเยือน  ในแนวป่าลึก..พรานหนุ่ม..จีเว กางเปลขึงพาดกับต้นไม้ ดักรอยิงสัตว์เหมือนเช่นเดิม ขณะนั้นใกล้ค่ำแล้ว แต่ยังไม่มืดมิด พระอาทิตย์เพิ่งจะลาลับขอบฟ้า แต่ก็ยังสะท้อนแสงสว่างให้เห็นอยู่ไรๆ พรานหนุ่ม..จีเว ได้ยินเสียงฝีเท้า..เดินตรงมาหาจุดที่เขาดักซุ่มอยู่ เป็นเสียงฝีเท้าก้าวเดินในจังหวะเนิบๆ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร พรานหนุ่ม..จีเว..เอาปืนแก๊ปประจำกายมาวางพาดขอบเปล หมายยิงเช่นเคย แต่ก็เอะใจว่า...สัตว์อะไร..ทำไมจังหวะการเดินจึงไม่เหมือนสัตว์ป่าทั่วไปที่เคยพบเจอมา  เพราะหากเป็นสัตว์ป่าทั่วไป จะต้องเดินบ้าง หยุดเพื่อกินหรือเคี้ยวอาหารบ้าง กระโดดไปมา หรือส่งเสียงร้อง พร้อมกับเหยียบย่ำให้ได้ยินเสียงใบไม้แห้งบ้าง แต่นี่กลับเป็นเสียงฝีเท้าเดินมาตรงๆ ไม่หยุด ไม่เหยียบ ไม่ย่ำอะไรเลย ราวกับจะเดินมาตามทางดินเพื่อมุ่งมาหาพรานหนุ่มโดยตรง "เหมือนจังหวะการเดินของคนมาก" ความสงสัย คิดอยู่ได้ไม่นาน ...เจ้าของเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา จนอยู่ในระยะแห่งการมองเห็น..พรานหนุ่ม ..จีเว สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า..ไม่ใช่สัตว์ป่าซะแล้ว...แต่เป็น...คน....ผู้เฒ่า..ตัวเตี้ย หลังค่อม นุ่งชุดขาว มือข้างขวาถือไม้เท้า เดินเข้ามาตามตำแหน่งที่พรานหนุ่ม..จีเว ผูกเปลไว้ ด้วยท่าทางปกติ ไม่มีการชะเง้อมองซ้าย หรือชะเง้อมองขวา คงเดินก้มหน้านิ่ง เดินมองทางเป็นปกติ
    พรานหนุ่ม..จีเว  เกิดอาการงุนงง..ปนกับความตกใจนิดๆ พลางลดปืนนำมาเก็บซ่อนไว้ในเปล ในใจก็ครุ่นคิดว่า ในป่าทึบแบบนี้จะมีใครมาเดินเล่นอีก ตอนแรกแกคิดว่าเป็นนายพรานเหมือนกัน แต่ลักษณะที่เห็นตอนนี้ไม่ใช่นายพรานผู้ร่วมป่าแล้ว...เจ้าของฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดตรงด้านล่าง ที่พรานหนุ่ม..จีเว ขึงเปลผูกกับต้นไม้ไว้ พรานหนุ่มไม่ทันได้ชะโงกหน้า ก้มร้องตะโกนถาม พลัน...!..ผู้เฒ่า..ตัวเตี้ย หลังค่อม นุ่งชุดขาว มือข้างขวาถือไม้เท้า ที่พรานหนุ่ม..จีเว เห็น ได้ยืดลำตัวสูงขึ้นมาหา ตามความสูงที่พรานหนุ่มผูกเปลเอาไว้ พรานหนุ่มเห็นดังนั้น ก็มีอาการตกใจ หน้าซีดเผือด ตัวสั่นพลักๆ ในใจแกอยากจะตะโกนร้องว่า "ผ..ผะ..ผะ..ผี....เจ้าป่า....." แต่ก็ร้องไม่ออก ป่าทั้งป่าเงียบกริบ........ไร้ซึ่งเสียงแห่งป่า......เหมือนมีอำนาจบางอย่างมาสะกดเอาไว้...
    "ผู้เฒ่านุ่งห่มผ้าขาว.. ผีเจ้าป่า" ชะเง้อใบหน้ามอง....ซึ่งแกจำได้ติดตาว่า เหมือนใบหน้าคนแก่ปกติทั่วไปนี่ละ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วเรียกชื่อแก ".....จีเว..." พรานหนุ่มยังค้างอยู่ในอาการหวาดกลัวและตะลึงงุนงงว่า...ผีเจ้าป่ารู้จักชื่อแกได้ยังไง  ....".....จีเว..."   ".. ผีเจ้าป่า" เรียกชื่อพรานหนุ่มจีเวอีกครั้งก่อนที่พรานหนุ่มจีเว พอจะเรียกคืนสติมาได้บ้าง รีบขานรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแผ่วเบาแบบตะกุกตะกัก..ว่า "ค..คะ..คะ..ครับ" ผมตัดบทถามผู้เฒ่าต่อเพราะอยากรู้ว่าผีเจ้าป่าพูดภาษาอะไรกับผู้เฒ่า...ผู้เฒ่าบอกว่าก็พูดภาษาไทยทั่วไปนี่ล่ะ ผู้เฒ่าเล่าต่อปนด้วยความตื่นเต้นที่แกไม่เคยลืมเลยในชีวิตนี้ ผีเจ้าป่าพูดกับพรานหนุ่ม..จีเว ว่า "หยุดล่าสัตว์ได้ไหม หากหยุดได้เจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จะร่ำรวย มีบ้านใหม่ มีรถยนต์ มีความสุขสบาย มีความเป็นอยู่ดีขึ้น" พรานหนุ่ม..จีเว รีบพยักหน้ายอมรับพร้อมกับเสียงตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า "คะ..ค..ะ...ครับ" โดยแกบอกว่าในห้วงเวลาแห่งเสี้ยววินาทีนั้น ไม่มีโอกาสที่จะคิดตอบเป็นอย่างอื่นไปได้เลย ผีเจ้าป่าพูดอะไร จำเป็นต้องตอบรับครับอย่างเดียว ผีเจ้าป่าขอร้องให้แกหยุดล่าสัตว์ป่า แล้วจะให้โชค ร่ำรวย มีฐานะดีขึ้น ผีเจ้าป่าบอกอีกครั้งว่า"ถ้าเจ้าให้คำมั่นสัญญา...ว่าจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อีก ข้าจะให้โชคแก่เอ็ง" พรานหนุ่มจีเว...รีบตอบรับอย่างไม่ลังเลด้วยความเกรงกลัวในอำนาจแห่งผีเจ้าป่า "ผมให้สัญญา..คะ..ครับ" จากนั้นผีเจ้าป่าก็หดตัวลง หายวับไปตั้งแต่เมือไหร่ไม่รู้ โดยพรานหนุ่ม...จีเว..ไม่กล้าที่จะชำเลืองมองตาม ยังคงค้างตะลึงอยู่ในเหตุการณ์ที่ตนเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า...จะได้พบเจอกับตัวเอง..ในผืนป่าใหญ่..อุ้มผาง
    รุ่งเช้าวันใหม่ พรานหนุ่ม..จีเว ..รีบเก็บข้าวของพร้อมอาวุธประจำกายมุ่งหน้ากลับบ้านทันที อีกครั้งหนึ่งที่ไม่ได้อะไรกลับไปฝากภรรยาและครอบครัวเลย พร้อมกับนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเล่าให้ภรรยาฟัง โดยภรรยาไม่เชื่อเรื่องที่ พรานหนุ่ม..จีเว ได้ประสบพบมา ภรรยาต่อว่าสามีแกล้งแต่งเรื่องขึ้นมา เพราะไม่ได้เนื้อสัตว์กลับมาฝากภรรยาเลย......คงกลัวว่าภรรยาจะโกรธ...เสียที..นายพรานมือฉมังของหมู่บ้าน พรานใหญ่...

โชคครั้งใหญ่...เจอผีเพื่อนบ้าน....
     หนุ่ม..จีเว บัดนี้ไม่ใช่นายพรานอีกต่อไปแล้ว อาวุธปืนแก๊ปที่แกเคยใช้ล่าสัตว์ได้ถูกนำไปทุบทำลายเรียบร้อยแล้ว ตามคำขอของผีเจ้าป่า ผู้เฒ่าเล่าว่า..แกจบชีวิตนายพรานด้วยวัยประมาณ 35 ปีเศษๆ ผู้เฒ่า..เล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากเหตุการณ์เผชิญกับผีเจ้าป่าแล้ว แกก็มาเล่าให้ชาวบ้านและหมู่เพื่อนฝูงฟังแต่ก็ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่แกบอกเลย มีบ้างที่พยายามจะเชื่อ แต่หลังจากนั้นได้ประมาณ 10 กว่าวัน ก็มีคนเริ่มจะเชื่อที่แกพูดแล้ว เพราะวันนั้นตรงกับวันออกสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วันหวยออก" ปรากฏว่างวดนั้นหนุ่มจีเว ถูกรางวัลสามตัวตรงๆ ที่แกซื้อแบบชาวบ้านได้เงินมาจำนวนหลายหมื่นบาท แกบอกว่าเงินหมื่นในสมัยก่อนนั้น ทำให้แกสามารถตั้งตัวได้ที่เดียว สามารถซื้อที่ดินทำเลดีๆในกลางหมู่บ้านได้หลายแปลง ภรรยาก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่แกพูดแล้ว แต่หนุ่มจีเว...อดีตนายพราน..ยังคงเก็บความสงสัยอยู่ว่า ผีเจ้าป่า จะให้เลขหวยแกอีกหรือไม่ จึงชักชวนภรรยาไปจุดธูปที่ข้างบ้านเพื่อขอพิสูจน์ให้ภรรยารู้ว่าเป็นผีเจ้าป่าจริง พร้อมจะให้โชคแกอีกหรือไม่.......
   หนุ่มจีเว..พร้อมภรรยา ได้จุดธูปดอกเดียวใต้โคนต้นมะขามใหญ่ข้างบ้านในตอนหัวค่ำ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เคยเจอผีเจ้าป่า พร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญเป็นภาษาถิ่น ภาษากะเหรี่ยง ขอให้ผีเจ้าป่าที่พบเจอครั้งนั้น มาปรากฏตัวเพื่อพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าท่านเป็นผีเจ้าป่าจริงหรือไม่ ผู้เฒ่าบอกว่า...สักพักอากาศมันแปรเปลี่ยน เหมือนจะป็นลมเป็นฝนซะงั้น และทันทีนั้นเอง...ต้นมะขามใหญ่ ที่เมื่อซักครู่ยังอยู่นิ่งๆ สงบ บัดนี้กิ่งมันโยกไหว โอนโยกไปโยกมา ใบปลิวร่วงหล่น..ปลิวว่อนไปตามแรงลมพัด.....ฝุ่นคลุ้งตลบไปหมด แล้วสักพักก็เห็นร่างๆหนึ่ง ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหาตรงที่จุดที่แกกับภรรยายืนตลึงอยู่ เป็นชายหนุ่ม สวมเสื้อผ้าชุดกะเหรี่ยงขาดวิ่นมีรอยเปรอะเปื้อนเต็มด้วยเขม่าไฟเต็มไปหมด พร้อมกับเจ้าของร่างนั้นพูดถามหนุ่มจีเวเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า.."จีเว..เรียกพี่มาทำไม" หนุ่มจีเวพร้อมภรรยาเห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ตายเพราะไฟไหม้บ้าน แล้วโดนไฟคลอกตาย หนุ่มจีเว..จึงตอบกลับไปเป็นภาษากะเหรี่ยงด้วยน้ำเสียงออกสั่นๆว่า "ผมไม่ได้เรียกพี่มา ผมเรียกคนอื่น" ร่างเพื่อนบ้านคนนั้นจึงถอยหลังหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร พร้อมการปรากฏของร่างๆหนึ่งลอยแทรกเข้ามา เป็นร่างที่หนุ่มจีเวมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผู้เฒ่า..ตัวเตี้ย หลังค่อม นุ่งชุดขาว มือข้างขวาถือไม้เท้า....."ผีเจ้าป่า" หนุ่มจีเวพร้อมกับภรรยาจึงนั่งคุกเข่าก้มลงกราบ ออกอาการตัวสั่นนิดๆ หนุ่มจีเว..เอ่ยบอกกับผีเจ้าป่าว่า "เพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะเป็นผีเจ้าป่าจริงหรือไม่ จึงได้จุดธูปแล้วลองเรียกดูและก็อยากจะเจอท่านอีกครั้ง" หนุ่มจีเวเริ่มคลายความกลัวลง ผีเจ้าป่าบอกกับหนุ่มจีเวว่า.."ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าข้าเป็นผีเจ้าป่าจริง จงเอาเลขที่ข้าให้สามตัวนี้ ไปเสี่ยงโชคดูอีกครั้ง จะซื้อกลับไปกลับมาก็ได้" หนุ่มจีเวจึงพยักหน้าพร้อมกล่าว "ครับ" ขานรับ จากนั้นผีเจ้าป่าก็หันกลับลอยหายเข้าไปในแนวป่าภูเขาใหญ่.....ผมแทรกถามผู้เฒ่าอีกว่าผู้เฒ่าเห็นเท้าของผีเจ้าป่าไหม ทำไมไปมาเร็วจัง ผู้เฒ่าบอกว่ามองไม่เห็นหรอกมันมัวๆ เหมือนมีหมอกควันบัง มองเห็นแต่ช่วงครึ่งขาขึ้นไป เป็นอันว่าการพิสูจน์ครั้งนี้ทำให้ผู้เฒ่ากับภรรยาเชื่อว่าเป็นผีเจ้าป่าจริงๆ....พร้อมกับเหตุการณ์เจอผีเพื่อนบ้าน ทำให้เชื่อว่า....ผีมีอยู่จริง

ปลูกบ้านใหม่...ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต...
     คู่สามีภรรยากลับมานอนที่บ้าน ต่างพูดถึงเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นกับชีวิต จวบจนกระทั่งวันแห่งการรอคอย วันหวยออกมาถึง...ผลการออกรางวัลปรากฏว่าเป็นจริงตามที่ผีเจ้าป่าบอก หนุ่มจีเวพร้อมภรรยาได้เงินมาจากการถูกหวยครั้งนี้ เพียงพอที่จะย้ายมาปลุกบ้านใหม่ในที่ดินที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมกับนำเงินที่เหลือมาซื้อรถยนต์ใหม่หนึ่งคัน เงินอีกส่วนหนึ่งนำไปลงทุนค้าขายโดยเปิดร้านขายของชำในหมู่บ้าน วิถีชีวิตของอดีตพรานใหญ่มือฉมัง ปรับเปลี่ยนไปกลายเป็น.."พ่อค้า" เรียกได้ว่า "ผีเจ้าป่า" พลิกผันชะตาชีวิต ให้มีฐานะดีขึ้นกว่าคนในหมู่บ้านทุกคน....
 "หยุดล่าสัตว์ได้ไหม หากหยุดได้เจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จะร่ำรวย มีบ้านใหม่ มีรถยนต์" เสียงนี้ยังดังก้องอยู่ในหูไม่เคยลืมเลือน และก็เป็นจริงอย่างที่ผีเจ้าป่าเคยบอกไว้......และก็เพราะคำมั่นที่หนุ่มจีเว..ได้ให้ไว้กับผีเจ้าป่า ครอบครัวจึงมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องเข้าป่าล่าสัตว์ให้เป็นบาปเป็นกรรมอีกต่อไป.......

ผืนป่าสมบูรณ์

ลูกไม้ป่า..มะเดื่อกวาง  อาหารของเก้ง กวาง หรือสัตว์ป่า

 มูลเก้ง ที่กินลูกมะเดื่อกวาง..

เก้ง

บทจบท้าย....จากผู้เขียน...
      จากเนื้อเรื่อง..แสดงว่า.."ผี"...ไม่ได้มีภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวหรือจะทำร้ายใคร ตลอดจนไม่มีปฏิกิริยาที่จะทำร้าย ผู้เฒ่า..จีเว...ที่มีโอกาสได้พบเจอเลย กลับมีบทบาทตรงกันข้ามกับคำว่า "ผี" ที่ใครๆก็รู้จัก ที่พอเอ่ยขึ้นมาคนส่วนใหญ่ต้องนึกถึงภาพอันน่าเกลียดน่ากลัว ภาพการยื่นมือมาบีบคอหมายทำร้ายผู้คน
      เรื่องสิ่งลี้ลับที่ผู้เฒ่าจีเวได้เผชิญมากับตัวเองเป็นเรื่องที่ผมได้มาจากการสนทนากับผู้เฒ่า...จากการที่ได้พบปะพูดคุยกันเป็นครั้งแรกที่บ้านของผู้เฒ่าเอง ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับเสือโคร่งตัวใหญ่ ซึ่งผมเองก็คิดว่าอาจเป็นผีเจ้าป่า จำแลงเป็นเสือโคร่งมาบอกผู้เฒ่า..เป็นนัยตักเตือนให้เลิกล่าสัตว์ก็ได้ จวบจนกระทั่งได้เผชิญกับผีเจ้าป่าตัวจริง ตลอดจนการจุดธูปเรียกผีเจ้าป่าแล้วพบเจอกับผีเพื่อนบ้าน..ผู้เฒ่าจีเวยืนยันว่า..เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจริง จนถึงกับต้องยกเลิกชีวิตการเป็นนายพรานเพราะรับปากกับผีเจ้าป่าไว้..นอกจากนั้นยังมีสิ่งลี้ลับที่ผู้เฒ่าเอามาให้ผมดู เช่น..."สะเก็ดดาว"..ซึ่งผู้เฒ่าเรียกว่า "ขวานฟ้า" เพราะตกมาในขณะฝนตกฟ้าร้อง แกบอกว่าเก็บได้หลังจากฝนตกฟ้าคะนอง แล้วเกิดฟ้าผ่าต้นไม้ใหญ่หักโค่นล้มลงมา ก็เลยเข้าใจว่า เพราะขวานฟ้านี่แหละที่ฟันเอาต้นไม้หักล้มแล้วทิ้งสะเก็ดเอาไว้ จึงเรียกว่า "ขวานฟ้า" ลักษณะเป็นแท่งผลึกสีดำ ขนาดประมาณเล็กกว่าไข่ไกนิดหนึ่งแต่ผิวข้างนอกเรียบใส มองทะลุถึงข้างในซึ่งมีความดำขุ่นข้นกว่า มีรูปร่างลักษณะแบนๆ คล้ายขวานและ "คดไม้ไผ่" ที่..ผู้เฒ่าได้นำมาให้ผมดู โดยแกใส่ไว้ในขวดน้ำมันจันทร์ ซึ่งผมดูแล้วมีลักษณะเป็นก้อนหินสีเทาขนาดประมาณใหญ่กว่าหัวไม้ขีดนิดหน่อย แต่มีลักษณะผิวเกลี้ยงเกลา ปลายกลมรีทั้งส่วนหัวส่วนท้าย สวยงามได้สัดส่วน   แต่ผมไม่กล้าขออนุญาตถ่ายรูปไว้ เนื่องเพราะความเกรงใจและยังไม่สนิทสนมกันเท่าไหร่นัก..........






     ผมเชื่อว่า...สิ่งลี้ลับในโลกนี้มีอยู่จริง แต่....ใคร...จะมีโอกาสที่จะได้เผชิญ แล้วเหตุการณ์จะเป็นไปอย่างไร.....

ป่าอยู่..สัตว์ป่าอยู่...คนก็อยู่...เรื่องเล่าแห่งป่าก็ยังคงอยู่ ขอแผ่เมตตาให้แก่สัตว์ป่าผู้ล่วงลับ ขอให้เจ้าป่า..จงพิทักษ์ปกป้องผืนป่าต่อไป....



โดย...นักเดินทางเข้าป่าและเล่าเรื่อง

ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย 
สงวนสิทธิ์ ๒๕๖๑

apichatimm@gmail.com
   อนึ่ง..   บทความที่เขียนขึ้นโดยเวบบล็อกผม ยินดีให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ แต่ห้ามนำไปเผยแพร่ต่อ อันเป็นเชิงทางการค้า....หากท่านที่ประสงค์อยากได้รูปภาพขนาดเดิม ติดต่อผ่านคอมเม้นท์หรือ email...{apichatimm@gmail.com}

  เนื่องจากมีการนำเรื่องที่ผมเขียนไปเล่าผ่านสื่อออนไลน์ Youtube เป็นจำนวนหลายราย โดยไม่มีการให้เครดิตแก่ผู้ที่เขียนเรื่อง เป็นการผิดธรรมเนียมของการนำไปเผยแพร่ และผิดจรรยาบรรณ ฉะนั้นผู้ที่จะนำไปเล่าต่อ กรุณาให้เครดิตด้วยนะครับ





14 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วเหมือนได้อยู่กลับนายพรานจีเว เลยครับ

    ตอบลบ
  2. อ่านแล้วเหมือนได้อยู่กลับนายพรานจีเว เลยครับ

    ตอบลบ
  3. เหมือนได้อยู่กับเหตุการณ์จริงในตอนนั้นเลย...
    ชอบมากค่ะ...

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะที่ให้ได้ติดตามเรื่องราวป่าที่หายไปจากสังคมตอนนี้

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณค่ะที่ให้ได้ติดตามเรื่องราวป่าที่หายไปจากสังคมตอนนี้

    ตอบลบ
  6. ยินดีครับ ป่าอยู่ คนก็อยู่ ร่วมกันปลูกจิตสำนึกให้คนรักป่า รักสัตว์ป่ากันมากๆนะครับ

    ตอบลบ
  7. สุดยอดดดมากๆๆๆครับ เหมือนหลุดเข้าไปอีกมิตินึงเลยครับ

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ..

    ตอบลบ
  9. นักเล่าเรื่องท่านใด นำเรื่องนี้ไปเล่าผ่านสื่อต่างๆ กรุณาให้เครดิตด้วยนะครับ เพราะเจตนาของการเขียนเรื่องของกระผม เป็นไปเพื่อการอนุรักษ์ ป่าและสัตว์ป่า หยุดกิน หยุดล่า หยุดฆ่า หยุดซื้อ และให้ป่าคงอยู่ เรื่องเล่าก็จะยังคงอยู่...

    ตอบลบ