พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าข้างกองไฟ...ตอน...พรานไพร...ผีป่านางไม้..เหรียญบาทพญาครุฑ

พรานไพร..ผีป่านางไม้...เหรียญบาทพญาครุฑ

                      โดย....ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย รอง สวป.สภ.เมืองตาก
                                   "นักเดินทางเข้าป่าและเล่าเรื่อง"


(ป่าใหญ่ ไพรวังเวง)

เล่าเรื่อง..กล่าวนำ..

    เมื่อกลางปี ๒๕๕๖ กระผม..ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีธุรกิจอยู่ในเขตบ้านทุ่งกระเชาะ ตำบลทุ่งกระเชาะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก และได้รับเชื้อเชิญให้ไปนั่งร่วมวงยังบ้านพักของแก โดยเพื่อนรุ่นพี่ท่านนี้บอกว่า..มีแขกพิเศษท่านหนึ่งที่จะแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับเรื่องราวการเข้าป่าล่าสัตว์ครั้งในอดีตและการที่เคยได้เผชิญกับสิ่งลี้ลับในป่า ที่จะเล่าให้ผมฟัง ผมจึงตกปากรับคำเชิญโดยทันที รีบจัดแจงปากกาพร้อมสมุดบันทึก ก่อนจะหยิบน้ำดีกรีไปฝากพอเป็นน้ำจิตน้ำใจ....

พบปะ..เพื่อนรุ่นพี่..ใกล้วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข



(ห้วยแม่ไข)
 
      จากตัวอำเภอเมืองตาก มุ่งหน้าสู่อำเภอบ้านตาก แล้วใช้เส้นทางลัดเลาะตามภูมิประเทศป่าเขาและดินลูกรังในช่วงระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตรสุดท้าย เข้าสู่หมู่บ้านทุ่งกระเชาะ ซึ่งเป็นจุดหมายของการของเดินทางครั้งนี้ รวมใช้ระยะเวลาประมาณ ๕๐ นาที ก็มาถึงบ้านพักเพื่อนรุ่นพี่เวลาประมาณเกือบ ๑๘.๐๐ นาฬิกา ลักษณะเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ คล้ายบ้านพักตากอากาศแต่สร้างแบบเรียบง่าย อยู่กลางป่าสวนมะม่วง ระบบน้ำประปา ไฟฟ้ายังมาไม่ถึงสอบถามจากเพื่อนรุ่นพี่แล้ว ทราบว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ น้ำอุปโภค บริโภคในยามนี้ จึงยังต้องอาศัยบ่อน้ำบาดาล และในยามค่ำต่อยามมืดแห่งค่ำคืนนี้ ต้องอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟและกองไฟที่พอจะหาเชื้อฟืนได้ไม่ยากนัก ภูมิประเทศโดยรอบติดกับแนวชายป่าเขต "วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข" ตำบลทุ่งกระเชาะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก มีน้ำตกที่งดงามหลายแห่งเช่น..น้ำตกผาลาด น้ำตกตาดโตน น้ำตกตีนช้าง  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ระยะห่างประมาณไม่ถึงกิโลเมตร จากที่ตั้งของเราในค่ำคืนนี้
     ชุดโต๊ะไม้ตัวขนาดพอดี ตั้งกลางลานใกล้สวนมะม่วง พร้อมกองไฟจากไม้ดุ้นใหญ่ เพื่อไล่แมลงและขจัดความมืดที่กำลังเคลื่อนคล้อยเข้ามา  ถูกจัดให้เป็นที่พบปะพูดคุยและเล่าเรื่องข้างกองไฟของเราครั้งนี้ หลังจากนั่งร่วมวงและทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เพื่อนรุ่นพี่ผมก็แนะนำบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ในวงสนทนาของเราให้รู้จัก ตามที่เกริ่นนำมาก่อนแล้ว....

 สุข..พรานป่า..แห่งหมู่บ้านทุ่งกระเชาะ

       ชาย..รูปร่างผอมบาง หุ่นเพรียวเล็ก ผมกะเอาว่าอายุน่าจะประมาณเลขห้าสิบตอนปลาย ในมือคีบมวนยาสูบที่พันด้วยใบตองกล้วยอ่อน นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมในวงสนทนา กำลังพ่นควันยาสูบอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะลดมือลงมารับไหว้จากผม ตามการแนะนำตัวของเพื่อนรุ่นพี่...."ลุงสุข" เพื่อนรุ่นพี่แนะนำ พร้อมกับแนะนำต่อว่าฉายาแกคือ...."ลุงสุขหมาไนย" ตามคำเรียกขานของชาวบ้านแถบนี้ ผมจึงทำหน้าสงสัย..พลอยไม่เข้าใจไปด้วย...ว่าทำไมต้องเอาชื่อคนไปตั้งพ้องกับสัตว์..."หมาไนย"


(ต้นกะเจ้าะหรือกระเชาะ)

       "...ย้อนหลังไปราว ยี่สิบถึงสามสิบกว่าปี ป่าในย่านนี้ก่อนจะมาเป็นวนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข เป็นป่าใหญ่ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร  อุดมด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่เล็กนานาชนิด มีส้ตว์ป่าอาศัยอยู่ชุกชุม วิถีชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยังคงอาศัยและพึ่งพิงกับธรรมชาติเป็นหลัก ทั้งในด้านการเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และเก็บหาของป่า โดยเฉพาะเห็ดป่าในป่าแถบนี้ มีอยู่อย่างชุกชุม เช่นเห็ดโคน เห็ดไข่เหลือง..เป็นต้น ในยามฤดูเก็บเห็ดป่า ราวช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน..ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อเข้าป่าหาเห็ดป่า สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ นำไปขายให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อถึงที่ จนทำให้วิถีการเข้าป่าล่าสัตว์ หยุดไปพักหนึ่ง เพราะชาวบ้านในช่วงนี้หันมาสร้างรายได้จากการเก็บเห็ดป่าเป็นส่วนใหญ่ ง่ายกว่าการเข้าป่าล่าสัตว์เยอะ..." ลุงสุข..เริ่มเล่าเรื่องราวย้อนวัยครั้งเป็นหนุ่มให้ผมฟัง คงจะมีการเกริ่นนำจากเพื่อนรุ่นพี่ ถึงเรื่องราวที่ผมสนใจ..ต่อการมาร่วมวงครั้งนี้ ก่อนหน้าแล้ว

เห็ดป่า









เมนูเห็ดป่า หมกหม้อไฟ..หอมๆ


 
     "หมู่บ้านทุ่งกระเชาะ" เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับแนวป่า ผมสันนิษฐานว่าน่าจะตั้งตามชื่อต้นไม้ประจำถิ่น  "ต้นกระเชาะ" หรือเรียกตามภาษาถิ่น "ต้นกะเจ๊าะ" ที่มีขึ้นอยู่หนาแน่นตามภูมิประเทศชายป่าแถวนี้...

     "สุข"....สมาชิกของหมู่บ้านนี้ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางเล็ก แต่ดูแข็งแรงสมวัย ด้วยวัยหนุ่มราวยี่สิบต้นๆ..ในขณะนั้น อาศัยดำรงชีพด้วยการเข้าป่า หากินกับป่า ทั้งล่าสัตว์และเก็บหาของป่าหรือที่เรารู้จักกันในนาม..."พรานป่า"...หรือ....ชาวบ้านเรียกว่า..."พรานสุข"...แกอาศัยป่าเป็นที่ทำมาหากิน ประกอบกับการทำกสิกรรมแบบครอบครัว เล็กๆน้อยๆ ไม่ถึงขั้นร่ำรวย แต่ก็เพียงพอที่จะหาเลี้ยงชีพให้ดำรงอยู่ได้  ก่อนจะหยุดอาชีพการเป็นพรานไพร เมื่อมีความเจริญและการพัฒนาจากภาครัฐ เข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในพื้นที่  กอปรกับจะมีการประกาศเป็นเขตพื้นที่อนุรักษ์ โดยจัดตั้งเป็นเขตวนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข พรานสุข...จึงหยุดเข้าป่าล่าสัตว์ คงเหลือแต่เพียงการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ ประเภท...วัว ควาย .....เท่านั้น


จากพรานสุข..เป็น..."สุข..หมาไนย"...





                                                                                    (ไก่ป่า)

     "พรานสุข"...เป็นบุคลรูปร่างผอมบางเล็กก็จริง แต่ผมสังเกตแล้ว..ดูแกมีความกระฉับกระเฉง แข็งแรงเกินวัย ดูแล้วคงจะไม่แพ้วัยหนุ่มๆของแกเลย ลักษณะเป็นคนนิ่งลึก สุขุม ไม่ตื่นตกใจอะไรง่ายๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความร่าเริงเป็นบางจังหวะตามบทแทรกระหว่างการสนทนา แกอาศัยป่าเป็นที่ทำมาหากิน เดินป่าล่าสัตว์ไปคนเดียวบ้าง สองถึงสามคนบ้างกับเพื่อนนายพราน แล้วแต่ว่าใครจะว่างเว้นภารกิจได้ไปเข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกัน...
     วันหนึ่ง..ในช่วงเช้าตรู่ฤดูหนาว ก่อนเวลารุ่งสาง พรานเรียกว่า "ยามไก่โห่" ของช่วงประมาณกลางเดือนธันวาคม พรานสุขได้รับการชักชวนจากเพื่อนพรานอีกสองคน ชักชวนกันสะพายปืนแก๊ปแบบลำกล้องยาว เพื่อเข้าไปยิงไก่ป่า เนื่องจากในยามก่อนเวลารุ่งสางหรือยามไก่โห่นั้น เป็นยามที่บรรดา "ไก่ป่า"..พากันโก่งคอขัน รับแสงอรุณแห่งวันใหม่ และเพื่อประกาศอาณาเขตถิ่นฐานการออกหากินของตนเอง กอปรกับในช่วงเวลาระหว่างเดือนธันวาคมถึงช่วงเดือนพฤษภาคมนั้น เป็นฤดูแห่งการผสมพันธ์ุของไก่ป่า ป่าแถบนี้จึงคึกคักไปด้วยบรรดาเหล่าไก่ป่า พากันโก่งคอขัน ดังกังวานไปทั่วหุบเขา ช่างชักชวนให้บรรดาเหล่าพรานไพรต่างพากันหลงเสียงไก่ป่ากันซะจริงๆ กลุ่มพรานสุขก็เป็นอีกกลุ่มที่พากันหลงเสียงโก่งคอขันของไก่ป่า...

ความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนป่า..(กระรอกกับผลมะขามป้อม)


(เก้งหรือฟาน)

(ลูกไม้ป่า พรานเรียก..มะเดื่อกวาง อาหารเก้งและสัตว์ป่า)

(มูลเก้งที่กินลูกไม้ป่า)

     ตามแนวทางเดินลัดเลาะตามภูมิประเทศที่เป็นป่าดิบทะลุป่าไผ่เป็นช่วงๆ...กลุ่มพรานไพรสามคนพากันเดินไปยังจุดหมายที่ได้ยินเสียงขันของไก่ป่าและคาดว่าจะเป็นแหล่งออกหากินของบรรดาฝูงไก่ป่า ซึ่งฝูงหนึ่งจะมีอยู่ประมาณไม่เกินห้าหรือหกตัว เดินมาราวๆชั่วโมงก็พากันมาโผล่พ้นแนวป่าดิบออกสู่ลานโล่งตัดกับแนวเขตป่าแคระ พอเข้าเขตแนวป่าแคระกลุ่มพรานสุขก็ได้ยินเสียงดังแควกๆ อยู่ในแนวป่าแคระข้างหน้า กลุ่มพรานก็พากันรู้ได้ทันทีว่านั้นคือ..เสียงเขี่ยใบไม้หรือกอหญ้าของไก่ป่า เพื่อคุ้ยหาแมลงหรือตัวหนอนเพื่อจิกกินเป็นอาหาร
     สามพรานพากันลดปืนแก๊ปมาประจุแก๊ปแล้วถือแบบย่องๆ คืบคลานเข้าไปหาฝูงไก่ป่าในแนวสุมทุมป่าแคระข้างหน้า พรานสุขเล่าว่า...ฝูงไก่ป่าประมาณห้าถึงหกตัว กำลังออกหากินกระจัดกระจายตามแนวสุมทุมป่าแคระ บ้างจิก บ้างเขี่ย บ้างจิกน้ำค้างแล้วกระดกลำคอเพื่อดื่มกินน้ำค้างที่เกาะบนใบไม้ เพื่อนของพรานสุขต่างพากันประทับปืนแก๊ปแล้วเล็งประทับส่ายไปมายังเป้าหมายซึ่งอยู่ไม่ค่อยนิ่ง ตามความไวของการเคลื่อนที่ของไก่ป่า...พรานสุข..นึกอะไรได้จึงเอื้อมมือไปจับลำกล้องปืนของเพื่อนทั้งสอง พร้อมแสดงท่าทางโบกมือ บ่งบอกความหมายถึงการห้ามยิง เพื่อนทั้งสองออกสีหน้าพากันงงนิดๆ แต่ก็ทำตามเพื่อนพรานสุขโดยดี สักพัก..พรานสุข..ได้ปลดวางอาวุธปืนแก๊ปของตนเองไว้กับพื้นดิน เพื่อนๆต่างพากันงุนงง เรียกว่า.."งงเป็นไก่ตาแตก"..ไปเลย จากนั้นพรานสุข..ก็จัดแจงถอดรองเท้าของตนเองออกแล้วค่อยๆย่องเดินแบบย่องเบาเข้าไปหาเป้าหมายไก่ป่า ซึ่งไก่ป่าตัวแรกที่พรานสุขกำลังย่องเบาเข้าไปหา กำลังคุ้ยเขี่ยหากินตามพื้นดิน ใต้โคนต้นไม้ใหญ่พอประมาณ พรานสุขค่อยๆย่องเบาเข้าไปหาเป้าหมายตัวแรก โดยเข้าทางด้านหลังโคนต้นไม้นั้น พอได้ระยะพอที่จะเอื้อมมือถึง พรานสุข..ก็อาศัยจังหวะและความปราดเปรียวของตนเอง ตวัดมือขวาอ้อมโคนต้นไม้อย่างรวดเร็ว จับหมับเข้าตรงหัวคลุมถึงช่วงปากของเจ้าไก่ป่าตัวนั้น เพื่อไม่ให้มันร้อง พร้อมกับตามติดด้วยมือซ้าย ตวัดจับขาของไก่ป่ารวบเข้าหากันทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันการดีดดิ้น หมับ....ไก่ป่าแนบนิ่งสนิท...ก่อนค่อยๆ นำไก่ป่าล่าถอยออกมา พร้อมพยักหน้าเรียกเพื่อนพรานอีกสองคนให้มาช่วยกันจัดการกับเจ้าไก่ป่าตัวนั้น
     พรานสุข...ล่าไก่ป่าด้วยมือเปล่า แบบย่องเบาแล้วจับเหมือนไก่ป่าตัวแรก จนกระทั่งถึงยามสายแล้วจึงพากันกลับหมู่บ้าน รวมเช้าวันนั้นแล้ว พรานสุข....จับไก่ป่าด้วยมือเปล่าได้ 7 ตัว ส่วนเพื่อนพรานก็ยังพากันสงสัยอยู่ อดถามพรานสุขไม่ได้ว่า "..ทำไม..ในเมื่อเราก็มีปืนแก๊ป..แล้วทำไมถึงไม่ยิงไก่ป่า.." พรานสุข..พยักหน้ารับพร้อมกับตอบเพื่อนพรานว่า..."ก็ข้าเห็นมันมีหลายตัว หากเรายิงอาจจะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เพราะไก่ป่ามันมีความไวมาก อีกอย่างแทนที่เราจะจับไก่ป่าได้หลายๆตัว แต่อาจจะยิงมันได้แค่ครั้งเดียว ไก่ป่าทั้งฝูงก็จะพากันเตลิดหนีหายเข้าป่าไปหมดเพราะเสียงปืน ไก่ป่าฝูงอื่นที่อยู่ในรัศมีเสียงปืนก็คงหนีหายเข้าป่าลึกไกลเข้าไปอีก ข้าจึงจำเป็นต้องจับมันด้วยมือเปล่า ถึงจะจับได้หลายๆตัว..." เพื่อนฝูงต่างก็เข้าใจในคำตอบ พร้อมกับยกนิ้วเอ่ยปากชมเพื่อนพรานสุขว่า "..เอ็งนี่ มันเก่งเหมือนหมาไนยเลยว่ะ ย่องเงียบซะจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า เหมือนหมาไนยแอบย่องจับไก่ป่ากิน..ข้านี่ ใจเต้นตุ้บๆแอบลุ้นอยู่..."


                                                                                                (หมาไนย)

     ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา "พรานสุข...หมาไนย" ก็เป็นฉายาที่ใครๆในหมู่บ้านต่างก็พร้อมใจกันพากันเรียกพรานสุข จนล่วงมาถึงวัยปัจจุบันนี้ ฉายา "ลุงสุขหมาไนย" ก็ยังเป็นที่คุ้นหูดีของชาวบ้านแถบนี้เป็นอย่างดี..

"พรานสุข..หมาไนย" ..เผชิญผีป่านางไม้...




    พรานสุข...หมาไนย ในวัยกำยำ ยังคงยึดอาชีพพรานไพรเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ ป่าที่แกอาศัยดำรงชีพ เป็นป่าดิบอยู่แถวละแวกบ้านแก แต่ต้องเดินลึกเข้าไปอีกไกลถึงขั้นรอนแรมคืน คืนเดียวบ้าง สองถึงสามคืนบ้าง จนกว่าจะได้สัตว์ป่าที่แกต้องการ แกบอกว่าสมัยก่อนนั้น อยากกินไก่ป่า อยากกินกระต่ายป่า เดินไปหลังบ้านก็ได้กิน ไม่ต้องเข้าป่าไปไกล แต่หากอยากได้สัตว์ใหญ่ประเภทอื่นเช่น เก้ง กวาง หมูป่า อีเห็น บ่างใหญ่...เป็นต้องเดินลึกเข้าไปอีกไกลโข.....
    ค่ำคืนวันหนึ่ง กลางป่าดิบในช่วงฤดูฝน ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ป่ากำลังเขียวงดงาม.. "สุข..หมาไนย" นั่งพักเอาแรงใต้โคนต้นไม้กลางป่าทึบ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ฝอยลมสีเขียวเกาะเต็มตามกิ่งก้านสาขา บ่งบอกถึงความชื้นสัมพัทธ์ของสภาพอากาศอันอุดมสมบูรณ์ เพื่อผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าจากการตามรอยสัตว์ใหญ่ทั้งวัน ก่อนจะมวนยาสูบด้วยใบตองอ่อนตากแห้ง ที่แกพกติดตัวเป็นประจำ สอดไส้ยาสูบด้วยเปลือกมะขาม เพื่อให้ไฟยาสูบลุกไหม้ต่อเนื่อง ก่อนจะสูบอย่างสบายอารมณ์ แต่บางจังหวะต้องพ่นควันโขมง เพื่อไล่แมลงที่มาตอมแขน ขาเป็นช่วงๆ ความมืดมิดในป่า มันช่างมืดซะเหลือเกิน คงจะมีก็เพียงแสงสว่างจากดวงดาวเท่านั้น ที่พอจะช่วยให้พอมองเห็นอะไรได้บ้าง เสียงสัตว์ป่าบางอย่างใช้เล็บตะกรุยเปลือกไม้ดังแกรกๆ พุ่มไม้สั่นไหววาบๆ จากการกระโดดของสัตว์ป่า ที่กระโจนจากพุ่มหนึ่งไปอีกพุ่มหนึ่ง เสียงจิ้งหรีดและแมลงป่า ร้องระงมไพรเซ็งแซ่เต็มไปทั่วป่า ก่อน..พรานสุขหมาไนย...จะเอนกายนอนใต้โคนไม้ใหญ่ ที่แกได้ปัดกวาดเตรียมไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
     เวลาเคลื่อนคล้อยไปเท่าไหร่ นานเท่าไหร่..พรานสุข หมาไนย... มิอาจล่วงรู้ได้ รู้แต่เพียงว่า...ถ้าหากแสงอาทิตย์ส่องแสงทอขอบฟ้ายามเช้าตรู่ เสียงสัตว์ป่าออกหากินยามเช้า หรือยามไก่โห่แล้ว เมื่อนั้นถึงเวลาที่พรานสุขหมาไนยต้องขยับกายพยุงตัวเองลุก ...ค่ำคืนท่ามกลางหมู่ดาวน้อยใหญ่ ในค่ำคืนนี้ พรานสุขหมาไนย..หลับไหลด้วยความอ่อนเพลีย แต่ลึกๆ..สติยังคงแฝงไว้ในยามหลับเยี่ยงนี้ ตามสัญชาตญานการระวังตัวของพรานไพร ที่พร้อมที่จะตื่นตัวได้ทุกเมื่อ และคงเป็นความเคยชินจาการที่แกได้ใช้ชีวิตในการเดินป่ามาเป็นเวลานาน....
     ในความมืดมิดนั่นเอง ขณะ "พรานสุขหมาไนย" กำลังหลับไหล พลันหูสองข้างก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังเย็นยะเยือกแว่วลอยไปลอยมา สอดแทรกไปตามจังหวะคลื่นลม พรานสุขบอกว่า "ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ลอยไป ลอยมา.." เสียงนั้นกรีดร้องอยู่เป็นเวลาพอสมควร โหยหวนพอที่จะปลุกพรานไพร ให้สะดุ้งลุกเอนกายขึ้นมา และพยายามสอดส่ายสายตาหาที่มาของเจ้าของเสียงนั้....เงียบ....กริป ป่าทั้งป่ายังคงเป็นไปตามวิถีแห่งป่า เสียงจิ้งหรีดยังคงร้องระงมไพร สายลมยังคงพัดกระทบต้นไม้ ใบไม้ ดังหวิวๆเป็นปกติ ทุกอย่างดำเนินไปเป็นปกติ "พรานสุข..หมาไนย" คงคิดว่าตนเองคงอ่อนเพลียมาก จึงพลอยหูแว่วไป พลางเอนกายล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขณะหลับตาลงได้เพียงครู่เดียว ยังมิทันได้หลับสนิทดี.......พลัน....เสียงนั้น ....เสียงกรีดร้องนั้น ก็ดังขึ้นในโสตประสาทของพรานสุขอีกครั้ง มิหนำซ้ำมันดังก้องและใกล้กว่าเดิมมาก เหมือนเจ้าของเสียงนั้น นั่งอยู่ข้างๆตัว แล้วส่งเสียงกรีดร้อง ป้องใส่ใบหูของพรานไพร ดังลั่นในแก้วหู ทำเอาพรานสุข สะดุ้งเฮือก โผตัวลุกทันที มือข้างขวาโผจับอาวุธปืนแก๊ปที่วางอยู่ข้างกาย ในใจตอนนั้นคิดว่า หยิบได้อะไรทันก็เอาอันนั้นแหละ หยิบได้มีดพร้า ก็เอามีดพร้า หยิบได้ปืนก็เอาปืน...คว้าหมับ...จับได้ปืน สติพลันแล่นกลับมา เรียกความรู้สึกคืน จากประสาทสัมผัสจากมือที่จับได้ด้ามปืน...."ตนเองไม่ได้ฝันไป.." บ่นรำพึงกับตนเอง   แต่ป่ายังคงเงียบเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย พรานนึกในใจพูดกับตัวเองว่า..."ผีป่ามันหลอกมันหลอนแน่ๆ" แต่ในใจตนยังคงนิ่งเก็บอารมณ์ข่มความกลัวไว้ อย่าแสดงความกลัวให้ผีป่ามันรู้ ไม่งั้นจิตจะตกอยู่ในอำนาจของมัน และในใจยังคงคิดว่าในป่าดิบแบบนี้ ไม่มีที่ให้หลบให้หนี ยังไงก็ต้องสู้กัน พลางหยิบซองยาสูบขึ้นมาพันม้วนจุดข่มอารมณ์ สองสายตาสอดส่ายแวดระวังไปมา จนแน่ใจว่ามันไม่ปรากฏตัวให้เห็นแน่ จึงเอนกายข่มตาลงนอนอีกครั้ง ลองดูซิว่า...ครั้งนี้ผีป่ามันจะมารูปแบบไหน....ตั้งแต่เดินป่ามา ยังไม่เคยพบ เคยเจอ.....
     คืนนี้...มันช่างข่มตาลงยากซะจริงๆ กายอยากจะหลับแต่ใจยังพะว้าพะวง แล้วครั้งต่อไป..ผีป่า..มันจะสำแดงฤทธิ์แบบไหนอีก เข้าป่ามาก็นานไม่เคยเจอแบบนี้เลย ครุ่นคิดไปคิดมา...พลอยเผลอหลับไปไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกที เหมือนความรู้สึกในห้วงแห่งความฝัน จะว่าเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ไม่ผิด มีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสายตาของใครก็ไม่รู้มาจ้องมองดูเรา พลัน....ก็ต้องพลอยสะดุ้งเฮือกอีกที ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียงยอดไม้ กิ่งไม้ รู้สึกว่ามันสั่นไหวแรงผิดปกติ ใบไม้ปลิวลอยร่วงลงมากระทบตัวและรอบบริเวณ เสียงจิ้งหรีดพากันหยุดร้อง มีแต่ความเงียบสงัด พร้อมกับเสียงกิ่งไม้สั่นไหวเท่านั้น  "พรานสุขหมาไนย" คิดในใจว่า "ป่าเปลี่ยนไป" จึงเหลือบสายตาแหงนมองขึ้นไปตามเหตุและเพื่อมองหาที่มา...อะไรกันที่มันทำให้กิ่งไม้ ยอดไม้สั่นไหวแรงขนาดนี้ พลัน...สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างๆหนึ่ง พอจะมองเห็นลางเลือนตามความสว่างของดวงจันทร์ ร่างนั้น...มันนั่งนิ่งบนกิ่งยอดไม้ สายตาจดจ้องมองลงมายังพรานสุขที่กำลังนอนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว เหมือนต้องมนต์สะกด แต่สายตายังคงรับรู้ได้ หัวใจเต้นแรงสั่นระริกๆ ในโสตประสาทและจิตใต้สำนึกรับรู้ได้ว่าร่างที่เห็นนั้นคือ...ผีป่านางไม้......
     พรานสุข..เล่าให้ผมฟังว่า ร่างนั้นเป็นผู้หญิงแน่นอน แกเรียก "ผีป่านางไม้"  ซึ่งพรานรุ่นก่อนๆเคยเล่าให้ฟัง ไม่นึกว่าตนเองจะได้มาพบเจอ มันมีลักษณะรูปร่างผอมบาง แกบอกกับผมตามประสาชาวบ้านป่าว่า...หุ่นดีทีเดียว ใบหน้านั้นไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนกับผี...ที่เราเข้าใจกันทั่วไป แกบอกว่าพอจะเห็นเค้าหน้าลางๆ ท่ามกลางแสงเดือนสลัวๆ เพราะกลุ่มเมฆฤดูฝนบดบังแสงไว้ ใบหน้านั้นเรียว เล็ก คาดคะเนว่า อายุน่าจะประมาณราว ๓๐ กว่าๆ ผมสีดำเหยียดยาวสยายลงไปยันปลายเท้า หน้าตาและการแต่งกายเหมือนกับหญิงชาวบ้านที่นุ่งผ้าถุงทั่วไป พรานสุขเล่าต่อว่า....."ผีป่านางไม้" เคลื่อนที่โดยการโผไปโผมา จากกิ่งหนึ่งลอยไปนั่งอีกกิ่งหนึ่ง มันพยายามลอยต่ำลงมา ลักษณะเหมือนกับการพยายามที่จะโผเข้ามาหาตัวพรานสุขให้ได้ จังหวะที่ผีนางไม้ลอยลงมา พรานสุขสังเกตเห็นว่าผมของผีนางไม้นั้นยาวสลวย เหยียดตรงชี้ขึ้นด้านบน ตามจังหวะการโผเพื่อลงมาหากิ่งไม้ด้านล่างสุด หมายจะเข้าหาตัวนายพรานที่กำลังนอนด้วยอาการตัวแข็งทื่ออยู่ในขณะนี้  จังหวะที่ผีนางไม้โผจะลงมานั่งบนกิ่งไม้ล่างสุดนั่นเอง มันต้องมีอาการผงะ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโหยหวน เย็นยะเยือก ลอยดีดตัวขึ้นสู่ด้านบน เหมือนกับผีนางไม้ มันเจออะไรเข้าซักอย่างที่มีพลังหรืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ สามารถทำให้มันเกรงกลัวได้ โผนั่งบนกิ่งไม้เดิม พร้อมกับก้มมองลงมายังตัวพรานสุข มันจ้องมองพรานป่าด้วยอาการและสายตาที่มีความเคียดแค้น....แล้วมันก็พยายามโผตัวลงมาอีกครั้ง แต่...ก็ต้องผงะโผตัวลอยขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้อง โหยหวนเย็นยะเยือกเช่นเดิม เหมือนผีนางไม้จะรู้ตัวว่า ตนเองไม่สามารถทำอะไรพรานป่าได้เลย มันจึงกรีดร้องเสียงแหลม โหยหวนสนั่นป่า พร้อมกับลอยหายวับไปกับความมืด เป็นจังหวะที่พรานสุขหมาไนย ขยับเนื้อตัวได้พอดี เรียกสติของตนกลับคืนมาได้ครบแต่เนื้อตัวยังสั่นอยู่ มือขวาคว้าหมับ จับอาวุธประจำกาย...ปืนแก๊ป แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของผีนางไม้ที่มาเขย่าขวัญประสาทของตนเมื่อซักครู่นี้  เงียบ...ป่าเงียบเป็นปกติ ยอดไม้ไม่สั่นไหว จิ้งหรีดพากันร้องระงมไพร เสียงลมปะทะใบไม้ดังหวิวๆ เป็นปกติของป่ายามนี้....ลุงสุขบอกผมว่า ..."ผีป่านางไม้ มันจะเอาเราทำผัว" ตามคำเล่าลือของพรานป่าหรือคนตัดไม้ ที่เล่าสืบต่อกันมา
     ผมจึงอดถาม "ลุงสุขหมาไนย" ไม่ได้ว่า "ลุงมีพระอะไรดีหรือครับผีป่านางไม้จึงไม่สามารถทำอะไรได้" แกส่ายหน้าปฏิเสธ ผมจึงป้อนคำถามต่อเนื่องอีก "อ้าว..แล้วลุงมีคาถาหรือเสกคาถาป้องกันหรือครับ" แกส่ายหน้าปฏิเสธอีก.....ผมทำหน้างุนงง พลางนึกในใจว่า...เอ...แล้วพรานสุขแกมีอะไรดี ผีนางไม้ถึงได้กลัวขนาดนั้น.....

มะม่วงป่าปริศนา.....


                                                         (แนวป่าดิบทุ่งกระเชาะ)
     แดดอ่อนทอแสงส่องขอบฟ้ารับอรุณรุ่งของวันใหม่ เสียงไก่ป่าโก่งคอขัน ขานรับกันเป็นทอดๆ ดังก้องกังวานทั่วป่า..พรานสุข...ยังคงรู้สึกงุนงง ปนหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อคืนนี้ มือข้างหนึ่งคีบมวนยาสูบที่พันด้วยใบตองอ่อนตากแห้ง ในใจครุ่นคิดทบทวนถึงเรื่องผีป่านางไม้ที่มาหลอกหลอนตน แต่ก็ช่างเถอะ มันทำอะไรเราไม่ได้ พลางคิดปลอบประโลมใจตัวเอง ก่อนจะจัดการมื้อเช้าด้วยเสบียงแห้ง เนื้อเค็มที่ตระเตรียมมา ส่วนข้าว จัดการหาไม้ไผ่ดิบ ประเภทไม้ข้าวหลาม ปล้องใหญ่พอประมาณ 1 ปล้อง เฉาะเจาะรูสี่เหลี่ยมล่างข้อปล้องลงมานิดหน่อย กรอกข้าวสาร น้ำ..พอท่วมข้าวประมาณครึ่งกระบอก อุดรูด้วยใบตองดิบ นำไปวางบนถ่านไฟ รอให้สุก แค่นี้ก็ได้ข้าวสวยที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นข้าวหลาม อร่อยเหาะเชียว....

พรรณไม้ใหญ่แห่งป่าดิบทึบ..



(แต่งแต้มลวดลายจากธรรมชาติ)
   หลังมื้อเช้า เอนกายพิงโคนไม้ใหญ่ พักผ่อนเอาแรงซะหน่อย ก่อนจะตระเตรียมของ พร้อมออกล่าสัตว์ต่อ เดินลึกเข้าไปในป่าดิบ ลัดเลาะตามลำห้วยเล็กๆ ก่อนจะมาโผล่ป่าดิบที่ดูอึมครึม เพราะแสงแดดไม่สามารถส่องทะลุลงมาพื้นดินได้ ไม่ต่างอะไรกับบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำ เป็นป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และต้นมะม่วงป่า พลัน...สายตาก็เหลือบไปเห็น เก้งตัวน้อยใหญ่ฝูงหนึ่งประมาณหกถึงเจ็ดตัว ไก่ฟ้าหลังเทาสี่ห้าตัว หากินเคียงคู่กับฝูงเก้ง ฝูงเก้งกำลังก้มเล็มหญ้า บางตัวกำลังใช้ฟันเลาะเล็มกินเนื้อมะม่วงสุก ฝูงไก่ฟ้าหลังเทา พากันคุ้ยเขี่ยหญ้า ขุดขุยดิน จิกกินแมลงหรือตัวหนอน อย่างสบายอารมณ์..

(เก้ง)
(ไก่ฟ้าหลังเทา)
    พรานสุข เห็นเป้าหมายที่ตนเองรอนแรมตามหาแล้ว เก้งใหญ่ คือเป้าหมายในยามนี้ จัดแจงปลดอาวุธปืนมาประจุแก๊ป พร้อมหมอบหลบใต้พุ่มไม้อำพรางตัว ค่อยๆคืบคลานเข้าไปหาเหยื่อ ให้ได้ระยะหวังผลการยิงที่สุด จนได้ระยะ...มือซ้ายวางเป็นรูปตัววีพยุงลำกล้อง ตวัดพานท้ายปืนเข้าร่องบ่า มือขวาสอดเข้าโกร่งไก ...พร้อมยิง หลับตาซ้าย เล็งด้วยสายตาขวา จับเป้าหมายได้ ข้อนิ้วชี้ขวากำลังจะลั่นไก พลัน....ทันใดนั้นเอง ลูกมะม่วงป่า ลอยมาจากทิศทางใดไม่ทราบได้ ลุงสุขเล่าบอกผมว่า..มะม่วงป่า มันลอยละลิ่วมาตกดัง..ตุ๊บ ตกตุ๊บ..ตกตุ๊บ... ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน หล่นใกล้ๆฝูงเก้ง ฝูงไก่ฟ้าที่กำลังหากิน จนพากันเตลิดหนีหายเข้าป่าลึกหมด มะม่วงป่าลอยมาหลายทิศทาง เหมือนมีใครเจตนาขว้างไล่ฝูงสัตว์ ทำเอาฝูงสัตว์ตกใจเตลิดหนี ตัวแกเองก็ตกใจด้วย พลางลุกยืน สอดสายตามองหามือขว้างมะม่วงป่า ..... ไม่มีคน ไม่มีใครอยู่แถวนั้น แม้แต่เสียงแปลกผิดปกติก็ไม่ได้ยิน แปลกใจ งุนงงอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับลดนกสับปืนไว้ ไม่รู้จะยิงอะไร ในใจคิดว่า ไม่..ผีป่า ก็ผีนางไม้....ตัวเมื่อคืนแน่ เพราะมันทำอะไรเราไม่ได้ คงจะผูกใจเจ็บ พยาบาทตามมาแก้แค้น ด้วยการกลั่นแกล้ง ไล่สัตว์ป่าหนีหายหมด พรานสุขหมาไนย คิดได้ดังนั้น จึงเก็บข้าวเก็บของ จำยอมผีป่า ผีนางไม้ ขืนดื้อดึงพยายามเข้าป่าลึกไปล่าสัตว์อีก คงจะไม่ได้อะไรแน่แท้ และเกรงว่าจะพบเจออะไรที่อาจเป็นอันตรายมากกว่านี้อีก...จำต้องยอมกลับบ้านด้วยมือเปล่า.......

ปาฏิหาริย์ เหรียญบาทพญาครุฑ....


 (เหรียญบาทพญาครุฑ (ด้านหน้า) ของลุงสุขหมาไนย)

 (เหรียญบาทพญาครุฑ(ด้านหลัง) ของลุงสุขหมาไนย)

     กลางวงสนทนายามนี้ ดีกรีแห่งความเมา ช่วยเสริมการเล่าเรื่องของลุงสุขหมาไนยได้อย่างมีอรรถรส ปนกับมวนยาสูบที่พันห่อด้วยใบตองแห้งของแก พอจะช่วยให้ผมมองเห็นภาพการเดินป่าของแกได้บ้าง พรานสุข..หมาไนย เดินป่าล่าสัตว์โดยไม่มีมนต์คาถาอะไร ไม่คล้องพระอะไร แกบอกสำทับว่า บรรดาพรานป่าจะไม่นิยมแขวนพระเข้าป่า เพราะเชื่อว่า พระเครื่อง มีคุณทางเมตตาหรือแคล้วคลาด หากแขวนพระเข้าป่าจะไม่ได้เจอสัตว์ป่าเลย จะแคล้วคลาดไปหมด พรานป่าจึงไม่คล้องพระเข้าป่า
     ถุงพลาสติกใส ข้างในบรรจุด้วย ยาสูบขี้โย ใบตองอ่อนตากแห้ง เปลือกมะขามไว้บดผสมยาสูบ และมีสิ่งหนึ่งที่พรานสุข ใช้เป็นเครื่องราง พกติดตัวเข้าป่าโดยเก็บไว้ในซองยาสูบของแก นั่นคือ..."เหรียญบาทพญาครุฑ" ลักษณะตามภาพประกอบเรื่อง เป็นเหรียญที่แกพกเข้าป่าเป็นประจำ ผมจึงขออนุญาตถ่ายภาพมาประกอบการเล่าเรื่อง พร้อมกับสอบถามว่า "แล้วลุงสุขใช้เป็นเครื่องรางยังไงครับ"......
    การเข้าป่าและพักค้างคืนในป่านั้น พรานลุงสุขบอกว่าเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับ ตามคำเล่าขานของพรานป่าและคนตัดไม้ จากปากต่อปากของพรานป่าและคนตัดไม้ เล่าขานสืบต่อกันมาว่า หากจะนอนในป่า ไม่ว่าบริเวณใดก็ตาม ให้ตอกตราครุฑ โดยตอกให้ด้านที่เป็นรอยครุฑติดไว้เหนือบริเวณที่เราจะนอน ตอกเสร็จแล้วเก็บเหรียญพกไว้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับพรานสุข ในค่ำคืนแห่งการเผชิญกับผีป่านางไม้ พรานสุขเอง ได้ขูดเปลือกโคนไม้ใหญ่ ขูดให้เรียบ แล้วตอกตราครุฑประทับติดไว้ เพื่อป้องกันสิ่งลี้ลับตามคำพรานและคนตัดไม้บอก และก็ได้ผลเป็นที่ปรากฏ...จากเผชิญกับ "ผีป่า..นางไม้.."

    "เหรียญบาทพญาครุฑ" จึงเป็นเครื่องรางที่ผู้เดินป่า พรานไพร คนตัดไม้ พกติดตัวเข้าป่าเพื่อป้องกันสิ่งลี้ลับ...แค่เหรียญบาทตราครุฑเท่านั้น ไม่ต้องผ่านพิธีกรรมการปลุกเสกแต่อย่างใด

บทสรุป....
    กระผมเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหรียญบาทตราตรุฑ ซึ่งผมขออนุญาตเรียกว่า "เหรียญบาทพญาครุฑ" ก็แล้วกัน เป็นการเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของ"พญาครุฑ"  ซึ่งผู้เฒ่าท่านหนึ่งเคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่ท่านเคยตัดไม้และล่องไม้ไปตามแม่น้ำปิง ไม้บางท่อนไม่ยอมไหลไปตามกระแสน้ำ บางท่อนอยู่นิ่งลักษณะคล้ายการไหลทวนน้ำหรือลอยต้านน้ำ ผู้เฒ่าท่านนี้ จึงเอา "เหรียญบาทพญาครุฑ" ตอกลงไปที่หัวไม้ท่อนนั้น ปรากฏว่า ไม้ท่อนนั้นพลิกตัวหมุนกลิ้งไปมาอย่าน่าแปลกประหลาด ก่อนจะไหลไปตามกระแสน้ำ เช่นเดียวกับหมอผีบางท่านหากตรวจพบว่า"ผีสัมภเวสี" เข้ามาสิงสู่ในเสาบ้าน ทำให้คนในบ้านอยู่ไม่เป็นปกติสุข "หมอผี" ก็จะตอกเหรียญตราครุฑให้จมหายไปในเนื้อไม้ทั้งเหรียญ เป็นการสะกดภูติผี ให้อยู่ในภพในภูมิ ไม่ให้ออกมารบกวนใคร...และ ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์เหรียญบาทตราพญาครุฑ ในส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับจากแนวป่าดิบหรือจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันอยู่อีกมาก แล้วแต่นักนิยมป่าหรือท่านใด จะได้พบ ได้เจอ "เหรียญบาทพญาครุฑ" จึงนับว่าเป็นวัตถุที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง....


เขียนโดย....

ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย รอง สวป.สภ.เมืองตาก
"นักเดินทางเข้าป่าและเล่าเรื่อง"

   บทความที่เขียนขึ้นโดยเวบบล็อกผม ยินดีให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ แต่ห้ามนำไปเผยแพร่ต่อ อันเป็นเชิงทางการค้า....หากท่านที่ประสงค์อยากได้รูปภาพขนาดเดิม ติดต่อผ่านคอมเม้นท์หรือ email...{apichatimm@gmail.com} 

    เนื่องจากมีการนำเรื่องที่ผมเขียนไปเล่าผ่านสื่อออนไลน์ Youtube เป็นจำนวนหลายราย โดยไม่มีการให้เครดิตแก่ผู้ที่เขียนเรื่อง เป็นการผิดธรรมเนียมของการนำไปเผยแพร่ และผิดจรรยาบรรณ ฉะนั้นผู้ที่จะนำไปเล่าต่อ กรุณาให้เครดิตด้วยนะครับ โดยเอ่ยชื่อผู้เขียนด้วย...เรื่องเล่าอื่นๆยังมีทยอยออกมาเป็นระยะ ในยามมีเวลาว่างและเดินทาง...


1 ความคิดเห็น:

  1. นักเล่าเรื่องท่านใด นำเรื่องนี้ไปเล่าผ่านสื่อต่างๆ กรุณาให้เครดิตด้วยนะครับ เพราะเจตนาของการเขียนเรื่องของกระผม เป็นไปเพื่อการอนุรักษ์ ป่าและสัตว์ป่า หยุดกิน หยุดล่า หยุดฆ่า หยุดซื้อ และให้ป่าคงอยู่ เรื่องเล่าก็จะยังคงอยู่...

    ตอบลบ