พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ทริปคิดถึงวิทยา(๑)..โรงเรียนสาขาบ้านขุนห้วยแม่ท้อ บ้านเช่อเซอคี ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก

" โรงเรียนสาขาบ้านขุนห้วยแม่ท้อ 
บ้านเช่อเซอคี ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก  "

"สภาพเส้นทางยามหน้าฝน"

     ความประทับใจในภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของครูในถิ่นทุรกันดาร กลางป่าดอยและขุนเขา จึงเป็นที่มาของการ..เล่าเรื่องราว ครั้งนี้
   อีกครั้งหนึ่ง..กับการเดินทางเข้าป่า "คนเดียว คันเดียว" แถมเป็นการเดินทางท่ามกลางฝนพรำๆ กลางป่าหน้าฝน ต้นเดือนกันยายน 2557 เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ ครั้งแรกวางแผนจะขึ้นเยือน "ดอยภูกา" ดอยสูงตั้งอยู่ในเขตป่าเขา รอยต่อตำบลสามหมื่น อำเภอแม่ระมาด กับตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แต่การเดินทางรอนแรมในป่าดอย เป็นอะไรที่ไม่แน่นอนและเส้นทางพักแรมที่เปลี่ยนแปลงไป...จึงมีเรื่องเล่าจาก "ป่าดอยสูง หุบห้วยลึก" ในครั้งนี้ 
     เส้นทางขึ้น "ดอยภูกา" เข้าตรงทางแยกป้ายบอกเขตที่ทำการ "เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น" เขตหมู่บ้านแสม ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ระยะทางประมาณ 84 กิโลเมตร จากตัวเมืองตาก
   
ผมเดินทางมาถึงแยกทางเข้าที่หมาย เวลาก็ปาเข้าไปบ่าย 5 โมงเย็นแล้ว


 ทางเข้าดอยภูกา

          โรงเรียนบ้านขุนห้วยแม่ท้อ 18 กิโลเมตร โรงเรียน ตชด.บ้านแสมใหญ่ 5 กิโลเมตร โรงเรียนบ้านสามหมื่น 14 กิโลเมตร

"ป้ายหน้าที่ทำการ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น"

 อุดมคติผู้พิทักษ์ป่า

ระยะทางต่อไปอำเภอแม่ระมาดและอำเภอท่าสองยาง

เส้นทางเข้าระยะแรกข้ามสะพานห้วยกองคอง

เส้นทางเป็นทางปูน  ท่ามกลางป่าข้าวโพด

กับความชุ่มฉ่ำที่ปลายเส้นขอบฟ้า


     ด้วยเส้นทางที่ส่วนใหญ่เป็นทางโค้งเนินและทางแคบ จึงคิดว่าเปิดไฟหน้าเพิ่มทัศนวิสัยจะดีกว่า บวกกับระยะเวลาแห่งค่ำคืน....ค่อยๆคืบคลานไล่เข้ามาทุกที กล้องต้องตั้งค่าถ่ายแบบชดเชยแสง ไม่งั้นภาพที่ได้จะดูมืด ไม่ชัดเจน


 แวะชมป่าข้าวโพดรายทาง สภาพบรรยากาศปุยหมอกฝนที่ปลายดอย

ม่อนดอยข้าวโพด


     "ฟ้าไล่หน้า ฝนไล่หลัง สายฝนพรำๆ" กับอีกการเดินทางเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแห่งป่าดอยและขุนเขา

 มีสลับถนนดินเลน....ในบางช่วงของเส้นทาง

ทิวเขาม่อนดอยข้าวโพด ยาวเรียงราย กับปุยเมฆหมอกห่มฟ้าที่ปลายดอย

ป้ายแนะนำเส้นทาง มีตลอดทาง


      เส้นทางไปดอยภูกา ผ่านหลายหมู่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ผมลองสื่อสารดูแล้ว การพูดภาษาไทย.. "พูดได้เป็นบางคน แถมพูดได้เป็นบางคำ" ก็เลยทำการสื่อสารปนเปไปด้วยรอยยิ้มระคนปนกันไป ซึ่งผมก็คิดว่าเป็น "เสน่ห์"ของการเดินทางไปอีกแบบหนึ่ง  


ไฟฟ้าที่ได้ มาจากแผงโซล่าเซลล์

แต่ละหมู่บ้านจะมีร้านค้าชุมชน สามารถหาซื้อเสบียงเพิ่มเติมได้

 ร้านค้าชุมชนประจำหมู่บ้านละเผ่ใหม่

"คริสตจักรสมานสามัคคีบ้านละเผ่ใหม่"

บางหมู่บ้านมีตู้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญ (แต่ไม่ได้ลองหยอด 55)

ทันสมัยหน่อย รับสัญญาณโทรทัศน์ด้วยจานดาวเทียม

พ้นจากหมู่บ้านละเผ่ใหม่มาได้สักระยะหนึ่ง จะพบทางแยกลงซ้ายมือไปที่หมายของผมครั้งนี้


เส้นทางเดียวกับทางไปบ้านแสมแห้ง

สำนักสงฆ์ดอยเป๊กก็ไปอีกตามป้าย 12 กิโลเมตร

 จากจุดนี้ มองย้อนกลับไปในเส้นทางมา

     เลี้ยวลงไปจะผ่าน "วัดนาแฮ บ้านกุเตอร์โกล" ซึ่งมีเจดีย์ที่โดดเด่น ศิลปะแบบล้านนา สังเกตจากโครงสร้างขององค์เจดีย์จะเน้นความโดดเด่นที่ฐานราก ระฆังจะมีขนาดเล็ก บริเวณข้างในวัดยังมีโรงเรียนสามหมื่นอยู่ภายในขอบเขตที่เดียวกัน

"หมู่บ้านกูเตอร์ทะ"



     "หมู่บ้านกูเตอร์ทะ" หมู่บ้านสุดท้ายก่อนจะขึ้นทางลื่นชันในเวลากลางคืน ยามนี้ประมาณใกล้เวลา 19:00 นาฬิกา

เส้นทางท้ายหมู่บ้านกูเตอร์ทะ

      ทางแยกขวาขึ้นจุดหมาย "ดอยภูกา" ตรงไปเป็น "โรงเรียนขุนห้วยแม่ท้อ"


"โรงเรียนสาขาบ้านขุนห้วยแม่ท้อ บ้านเช่อเซอคี" แยกขวา เป็นทางขึ้นเขาลาดชัน



 ทางปูน ด่านแรกลาดชันมาก ระยะยาวพอสมควร



สองข้างทางเป็นป่าข้าวโพด

ปุยเมฆหมอกฝน ห่มดอยอยู่ด้านหลัง....มองขาวละลานตา

มองเห็น "หมู่บ้านกูเตอร์ทะ" อยู่ด้านล่าง

ด่านที่สอง ร่องดินโคลน 

      ข้างหน้าเป็นเนินเขา สูงชันพอสมควร แถมมืดอีกต่างหาก ข้างทางเป็นหุบข้าวโพด 

       เผื่อจะผ่านได้ ทุลักทุเลเหมือนกัน "หน้าไปซ้าย ท้ายไปขวา หน้าไปขวา ท้ายไปซ้าย" ล้อตะกรุยขับสลับไปมาอยู่อย่างนั้น เล่นเอาปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่ม เฮ้อ......เกือบได้เป็นตำนานข้าวโพดปิ้งแล้วเรา
     
      หลุดจากหล่มโคลนมาได้ เส้นทางที่ไต่ไล่ที่สูงขึ้นมา มีแต่ความมืดสนิท ยามดึกก็ไล่ใกล้เข้ามาทุกที ท้องก็เริ่มหิวแล้ว เม็ดฝนก็ตกพรำๆ ทำไงดีหว่า...เพิ่งมาเป็นครั้งแรกด้วย ความหนาวเหน็บที่มาจากละอองฝนและความมืดจากการที่ฟ้าปิด จึงต้องรีบหาที่พักแรมในค่ำคืนนี้ให้ได้ก่อนที่ฝนจะลงหนักและหนาวเหน็บมากกว่านี้ ...ขับรถจนพ้นขึ้นมาถึงบนยอดเนินเขา ฟ้าที่ปิด..ไม่มีแสงสว่างจากดวงดาวและดวงจันทร์..พยายามสอดส่ายสายตาสังกตจากแสงของโคมไฟด้านหน้ารถ..เริ่มจะเห็นบ้านเรือนผู้คนแล้ว แบบบ้านไม้ยกตัวสูง ตั้งอยู่ประปรายอยู่ในสองข้างทาง เป็นหมู่บ้านของผู้คนแน่ๆ ใจเริ่มดีปนความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆละ ..คิดในใจ ว่าเรามีที่พักแล้ว ขับรถช้าๆไปเรื่อยๆเผื่อจะได้ขออาศัยพักแรมในยามค่ำคืนนี้  ขับไปเรื่อยๆจนมาตัดผ่านยังใจกลางของหมู่บ้าน ซึ่งสังเกตจากจำนวนบ้านที่เริ่มถี่และอยู่ชิดกันมากขึ้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นแสงไฟหรือแสงสว่างจากบ้านเรือนผู้คนหลังใดอันเป็นสัญญานที่พอจะได้สื่อสารพูดคุยด้วยเลย  เหลือบดูเวลาในรถก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าๆแล้ว ขับไปจนเกือบจะพ้นท้ายเขตหมู่บ้าน ความหวังเริ่มริบหรี่ลง คืนนี้..สงสัยคงจะได้นอนพักแรมริมทางซะแล้วมั้งเรา ทางแยกข้างหน้าแยกเป็นสองทาง แยกซ้าย แยกขวา ทางแยกซ้ายเต็มไปด้วยดินหล่มโคลนเสี่ยงต่อรถติด แต่ก็ต้องตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้ายเพราะเป็นเส้นทางที่ใหญ่กว่า ร่องรอยการสัญจรมีมากกว่า จึงน่าจะเป็นเส้นทางหลัก หักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายมาได้ไม่ไกลนัก ทันใดนั้น...สังเกตเห็นแสงสว่างดวงเล็กๆ ด้านฝั่งขวามือ จึงหยุดรถหันมามอง ด้วยบรรยากาศที่มืดสนิท จึงค่อยปรับสายตาเพ่งจ้องมองดู จนพอจะแน่ใจแล้วว่าเป็นแสงสว่างมาจากบ้านเรือนคนอยู่อาศัยแน่ๆ จึงตัดสินใจเข้าเกียร์ขับรถถอยหลังย้อนกลับมา พร้อมกับมาหยุดฉายไฟตรงทางที่จะตัดสินใจเข้าไปตามแสงสว่างดวงนั้น แสงจากกระบอกไฟฉายส่องไปปะทะกับป้ายไม้เก่าๆแผ่นหนึ่ง กว้างประมาณสองศอก ถึงกับตื่นเต้น...คิดถึงวิทยา..ขึ้นมาทันทีทันใดเลย เพราะเป็น..สถานที่ในฝันของบรรดานักเดินทางแบบฉบับการตะลุยป่าดอยและขุนเขา นั่นคือ..โรงเรียน ป้ายไม้แผ่นนั้นเขียนบอกชื่อสถานที่ .. "โรงเรียนบ้านขุนห้วยแม่ท้อ ห้องเรียนสาขาบ้านเช่อเซอคี" จึงรีบหันหัวรถเบนเข้าไปตามแสงสว่าง รถมาหยุดอยู่หน้าห้องที่มีแสงไฟพอดีเลย ลดกระจกลง เรียกตะโกนนำก่อน..."คุณครูครับ คุณครู" ..."คุณครูครับ" เรียกอยู่สองครั้ง เสียงตอบรับ "ครับ" ด้วยความดีใจ กลางป่า กลางเขา ฝนตกพรำๆ คลำเส้นทางมาท่ามกลางความมืด "มิตรภาพกลางป่าและขุนเขา" ได้ก่อกำเนิดอีกแล้ว

       คุณครูอิฐ...ครู..ผู้หยิบเล่มเทียนไขส่องสว่างมาเปิดประตูรับมิตรภาพในการมาเยือนของบุคคลแปลกถิ่นในค่ำคืนอันหนาวเย็น..แห่งค่ำคืนนี้ พร้อมกับบรรยากาศการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่ คุณครูอิฐมอบให้  สถานที่โรงอาหารของโรงเรียนในคืนเวลานี้..แสงสว่างจากโคมไฟพร้อมกับแสงไฟจากเตาถ่านที่ผมนำติดตัวมาด้วย พอให้ได้เห็นหน้าตาของเจ้าบ้านและแขกแปลกถิ่นอยู่บ้าง กลางวงสนทนา..พร้อมกับการจัดการปรุงอาหารจากเตาถ่านของผม หลังจากพูดคุยและแนะนำตัวกันแล้ว ครูอิฐจึงได้แนะนำเกี่ยวกับสถานที่และทำเลที่ตั้ง ว่าสถานที่แห่งนี้คือ..โรงเรียนสาขาในโรงเรียนบ้านขุนห้วยแม่ท้อ บ้านเช่อเซอคี ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงเช่อเซอคี คุณครูอิฐ..ครูประจำการที่เพิ่งรับการบรรจุมาไม่นานมานี้ และเป็นครูเพียงคนเดียว ทำให้ผมหวนนึกถึงบทเพลงเพื่อชีวิต อันเป็นตำนานของชีวิตครูกลางป่าดอยและขุนเขา.."โรงเรียนมีครูหนึ่งคน ครูผู้เสียสละตน อดทนอยู่ห่างไกลความสบาย"  แต่จากการที่ครูอิฐเป็นคนที่มีพื้นเพมาจากต่างจังหวัดท้องที่ ยังไม่เข้าใจด้านการสื่อสารในท้องถิ่นมากนัก จึงมีครูผู้ช่วยที่มาจากภายในท้องถิ่น คอยเป็นล่ามแปลและสอนภาษาถิ่นให้อีกคนหนึ่งคือคุณไฉไล กับลูกศิษย์เด็กๆในเวลาตอนนี้ อีกประมาณยี่สิบกว่าคน จาการรับฟังและพูดคุยเรื่องราวของแต่ละฝ่ายมาพอสมควร ก็ล่วงเข้ามากว่าห้าทุ่มแล้ว จึงเอ่ยคำอำลา ก่อนจะแยกขอตัวพากันเข้าพักนอน และพร้อมรับการมาเยือนของอรุณรุ่งของวันใหม่


      บรรยากาศยามเช้าอรุณรุ่งวันใหม่ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ กลางวันไม่เห็นดวงอาทิตย์ กลางคืนไม่เห็นดวงดาวเลย มีแต่ปุยเมฆหมอกฝนขาวโพลนห่มคลุมทั่วยอดเขา

มองจากสนามกีฬาโรงเรียนในตอนเช้า


     "ธงไตรรงค์"โรงเรียนสาขาบ้านขุนห้วยแม่ท้อ บ้านเช่อเซอคี สายลมพัดปลิวโบกสะบัด กลางยอดเขา



     "สายลมหนาวพัดโบกโบย พริ้วดูแล้วสวยใสใส เย็นลมเย็นไหวไหว สวยงาม บ้านอยู่ไกลธุรกันดาร โรงเรียนอยู่หลังเขา มีแต่พวกเรา ไม่มีใคร"



    หลังจัดการมื้อเช้า โดยมีคุณครูอิฐช่วยดูแลสอบถามสิ่งที่ขาดเหลือ หรือจะให้ช่วยอะไร เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวคำอำลา "สวัสดีคุณครู"  ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่หมายต่อไป "ดอยภูกา" ระยะทางอีกประมาณ 5 กิโลเมตร


" เดินทางกลางสายหมอกและลมฝน "




 ฝนตกพรำๆ ดินอมน้ำฝน ทำให้เส้นทางลื่น ขับสะบัดซ้าย-ขวา ตลอดเส้นทาง 

     ละอองน้ำฝนปะทะกับเลนส์กล้องถ่ายรูป เผื่อจะได้มาแต่ละภาพ ต้องรักษากล้องไว้ให้ดี


ยอดเนินด่านนี้ ถึงกับลื่น ล้อขวาง บังคับทิศทางไม่ได้

                                      ล้อสะบัดกระแทกร่องด้านซ้าย จะพาเข้าป่าข้างทางอย่างเดียว


     โอโห ...! ผ่านมาถึง ด่านนี้หนักใจจัง หนทางแยกออกเป็นสองทาง มีตัวเลือกแค่ ก.กับ ข. เท่านั้น จอดรถลงเดินดูไลน์คนเดียว ลื่นหกล้มสองสามครั้ง เกือบกลิ้งลงดอยแล้วเรา เลอะโคลนหมด ทั้งคนทั้งรถ




เลือกข้อ ก. ทางซ้ายร่องลึก


เลือกข้อ ข. ทางขวาสูงชัน ลื่นดินโคลน

  ร่องลึกพาลงป่าไผ่



ขอเก็บภาพดอกกระเจียวป่า ทำใจก่อน กล้องก็เปื้อนโคลนตอนลื่นล้ม...




จักรยานยนต์สองล้อ..ต้องใส่โซ่พันล้อ...อยากจะขอยืมโซ่พี่จัง....



     คันนี้ซ้อนท้ายกันมา พอขึ้นเนินเขาปุ๊บ...คนนั่งซ้อนท้าย โดดลงเดินอย่างคล่องแคล่ว ปล่อยให้มอเตอร์ไซค์ออกแรงบิดเต็มที่...เต็มเหนี่ยวไปเลยเพ่....!



     ตัดสินใจอยู่พักใหญ่ๆ ว่าจะขึ้นเลนส์ซ้าย โดยคิดว่าจะต้องเดินขุดทำทางใหม่ก่อน หูก็แว่วได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์มาแต่ไกล อ้อ...! คุณครูอิฐนั่นเอง  "ผมนึกแล้ว..ว่าพี่จะต้องลงเดินดูทางตรงจุดนี้แน่นอน นักเรียนบอกให้ตามมาดูหน่อย ..เป็นห่วง"..."เขาจะขึ้นได้ไหมครับครู " กลางเขา กลางป่าแบบนี้ ซาบซึ้งในน้ำใจครับ คุณครูยังบอกอีกว่า ถึงผ่านตรงจุดนี้ไปได้ ข้างหน้ายังมีอีกหลายด่าน โหดกว่านี้ ก็เลยตัดสินใจ เชื่อคุณครูและนักเรียน....อีกไม่นานจะกลับมาใหม่.......ดอยภูกา


เส้นทางขากลับ










หุบเขาข้าวโพดริมทาง 




เส้นทางขาลง เลยหมู่บ้านเช่อเซอคีนิดหน่อย มองไม่เห็นดอกยางเลย



 ร่อง.....รอยโซ่พันล้อรถบรรทุกหน่อไม้





 เนินนี้ รถขวางลำเป็นเจ้าถนน ไหลลงแบบนี้ครับ




พ้นหล่มดินโคลนมาแล้ว ชมวิวสวยข้างทางต่อครับ







กล้วยป่าแคระ ริมทาง ช่วยเพิ่มสีสีนแห่งธรรมชาติ



ดอกกระเจียวป่าริมทาง



 กลีบดอกสีขาวแซมเหลืองสด ล่อแมลงมาช่วยผสมพันธุ์



      ขากลับแวะชม "วัดนาแฮ บ้านกุเตอร์โกล" กับเจดีย์ที่โดดเด่น ศิลปะแบบล้านนา



วิหารกำลังก่อสร้าง เรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาครับ

พระประธานแบบเชียงแสน


 โบสถ์กลางน้ำ

ภายในโบสถ์กลางน้ำ ธรรมมาสน์แบบไทยใหญ่ ปิดทอง สวยงามมาก

เก็บตกริมทาง สายถนนหลักขากลับเข้าตัวเมืองตาก


ไร่กะหล่ำปลี เรียงเป็นทิวเขาสลับทอดยาว

     การเดินทางย่อมไม่ราบรื่นเสมอไป เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่หาในป่าคอนกรีตไม่ได้ ที่สำคัญคือ "มิตรภาพและความจริงใจกลางป่าเขา" ขอบพระคุณคุณครูอิฐ ที่ต้อนรับด้วยความอบอุ่นครับ



ติดตามต่อตอนที่สองครับ

5 ความคิดเห็น:

  1. ขอนำรูปบางส่วนจากบทความไปใช้ในงานศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในการบริกการสุขภาพได้ไหมคะ

    ตอบลบ
  2. ทั้งนี้ ได้ให้เครดิตบล็อกของคุณในบทความแล้วค่ะ ขอบคุณที่ทำให้ได้เห็นท้องถิ่นทุรกันดารที่ยากแก่การเข้าถึงนะคะ

    ตอบลบ
  3. อยากเชิญพี่เข้ากลุ่ม "พวกเราคนจังหวัดตาก"

    ตามลิ้งนี้ครับ https://www.facebook.com/groups/khontak/892619554158310/?notif_t=like

    ตอบลบ