ทริปนี้ออกทัวร์คนเดียวเช่นเคยช่วงเดือนมีนาคม ล้อหมุนจากแถวสนามบินสุวรรณภูมิราวๆเที่ยงคืนกะจะให้ถึงเวลาตอนที่อุทยานเปิดพอดี ไปถึงก็ราวๆตี5 พอมีเวลาหลับรอเจ้าหน้าที่มาเปิดด่านอีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ซื้อตั๋วเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ที่นี่มีเวลาขึ้น - ลง ก่อนเดินทางต้องตรวจสอบข้อมูลก่อน
เสียงชะนีร้องโหยหวล ผ๊วะ..ผั๊ว..ผั๊ว..สะท้อนก้องไปทั่วแนวป่าที่ผมยืนอยู่ พร้อมกับห้อยโหนกิ่งไม้เคลื่อนคล้อยผ่านด้านหลังผมไปอย่างรวดเร็ว จนกดชัตเตอร์ไม่ทันได้ภาพสวย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
เส้นทางระยะแรกเป็นถนนดำขับขี่สบาย แต่ช่วงระยะปลายทางจะเป็นทางแคบชันเขา ถนนขรุขระเป็นบางช่วง พาหนะที่ใช้ถ้าเป็นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้จะดีที่สุด
ที่นีถือว่าบรรยากาศของการชมสัตว์ป่ามีมากทีเดียว ทั้งช้างที่เดินอยู่ข้างทาง ไก่ป่าโผล่ออกมาให้เห็นเป็นคู่ ชะนีร้องโหยหวนจับใจ แต่ผมชอบนกเหยี่ยวมาก ดูแล้วสง่างาม น่าเกรงขาม กรงเล็บที่ทรงอำนาจ สมกับเป็นเจ้าเวหาจริงๆ
ตัวนี้คงเป็นนกพญาไฟ ตัวเล็กมาก
ผลงานนกหัวขวาน
เมื่อมาถึงยอดเขาแล้วถือว่าไม่ผิดหวัง ที่อดหลับอดนอนเดินทางมา หลังจากจัดการเรื่องปากเรื่องท้องจากร้านค้าที่มีบริการแล้ว ก็เดินทางต่อเพื่อหาจุดชมทะเลหมอกทันที ทะเลหมอกที่นี่ปกคลุมหนาแน่นสวยงามมาก แผ่รัศมีกว้างสุดลูกหูลูกตา ดูคล้ายกับว่าตัวเราสามารถยืนเหาะอยู่บนก้อนเมฆได้ปานนั้น
เสียงชะนีร้องโหยหวล ผ๊วะ..ผั๊ว..ผั๊ว..สะท้อนก้องไปทั่วแนวป่าที่ผมยืนอยู่ พร้อมกับห้อยโหนกิ่งไม้เคลื่อนคล้อยผ่านด้านหลังผมไปอย่างรวดเร็ว จนกดชัตเตอร์ไม่ทันได้ภาพสวย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า
อิ่มอกอิ่มใจกับทะเลหมอกแล้ว ช่วงบ่ายก็ต้องลงภายในกำหนดเวลา โดยต้องคอยสัญญานจากเจ้าหน้าที่ว่าจะลงได้หรือยัง เนื่องจากทางแคบ รถสวนกันลำบาก ขากลับก็แวะชมเขื่อนแก่งกระจานและถ่ายภาพชื่ออุทยานเป็นที่ระลึก
อาหารมื้อเที่ยง (กินตอนราวๆบ่ายสองกว่าๆแล้ว) เมนูเด็ดแถวนี้ ต้องลอง ผัดผักกูดผัดน้ำมันหอย รสชาติสมกับกินแบบบรรยากาศป่าจริงๆ บวกกับไข่เจียวอีกจาน รับรองอร่อยเหาะ...
ป้ายบอกระยะทางไปโป่งลึก
กลับสู่สุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น