"พระรอด....พระเครื่อง..ผู้เป็นรองแค่สายสิญจน์"
โดย ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย รอง สวป.สภ.เมืองตาก
"พระรอด" สุดยอดพระเครื่องซึ่งมีอายุกาลพรรษาสูงสุดแห่งชุดเบญจภาคี เชื่อกันว่าสร้างโดยองค์ฤาษีนารอด ในยุคสมัยอาณาจักรหริภุญชัยแห่งเจ้าแม่จามเทวี ปฐมกษัตรี นับถึงเวลานี้....ลุมาได้ประมาณกว่า ๑,๓๐๐ ปีล่วงมาแล้ว
"ฤาษี นารอด (หรือนารถะ)"
"พระรอด..เป็นรองแค่สายสิญจน์"
ภาคเหนือ..มีน้อยคนที่ไม่รู้จักพระรอด แม้แต่เด็กๆก็ยังรู้จัก พูดง่ายๆ เกิดมาก็เกี่ยวพันกับพระรอดตั้งแต่แบเบาะแล้ว ด้วยฤิทธิปาฏิหาริย์ที่เล่าลือกันของพระรอดประกอบด้วยนามคำว่า "รอด" พ่อแม่หรือผู้ปกครองจึงนิยมหามาให้ลูกหลานให้ใช้คล้องคอ ญาติพี่น้องที่มีใครให้กำเนิดบุตรใหม่ ก็มักจะได้ของฝากของเยี่ยม ถ้าเป็นพระเครื่องก็เห็นจะไม่พ้น"พระรอด" ภาพลักษณ์ของ "พระรอด" ไม่ว่าจะเป็นพระรอดใหม่หรือพระรอดเก่า จึงยังฝังจิตฝังใจกลายเป็นวัฒนธรรมการคล้องพระเครื่องของทางภาคเหนือของไทยและเป็น "ศรัทธาวัฒนธรรม" ที่อยู่คู่กับคนภาคเหนืออย่างแท้จริงจนถึงทุกวันนี้"พระรอด...เป็นรองก็แค่สายสิญจน์เท่านั้น" ในที่นี้หมายถึง "จำนวน" เมื่อเทียบกับการหาคล้องพระรอด ไม่ว่าพระใหม่หรือเก่า เพราะการหาด้ายสายสิญจน์ มาเป่ามาเสกแล้วนำมาผูกคล้องคอ ผูกข้อมือ หาได้ง่ายกว่าและในทุกวาระโอกาส แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เรานับถือ หรือท่านผู้มีอายุซึ่งทางภาคเหนือเรียก "พ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย" เช่น..ลุงติ๊บ...ก็เรียก "พ่ออุ๊ยติ๊บ" ป้าศรี ก็เรียก "แม่อุ๊ยศรี" เราก็สามารถหาสายสิญจน์มาให้ท่านเป่าเสกพรวดๆ บางท่านเป่าจนน้ำหมากกระจาย เพราะคนสมัยก่อนนิยมเคี้ยวหมาก แล้วนำมาผูกคล้องข้อมือลูกหลาน ท่าน....ไม่ได้ใช้พลังจิตแต่ท่านใช้พลังใจ...ลูกหลานก็ได้กำลังใจ หายป่วย หายไข้ ไม่กลัวผีสางนางไม้แล้ว สายสิญจน์จึงมีจำนวนมากกว่าพระรอด ....แสดงว่าทั้ง พระรอด และสายสิญจน์ เป็นที่นิยมหามาเป็นเครื่องรางในลำดับต้นๆ ในถิ่นแถวทางภาคเหนือของไทยมานานมากหรือเริ่มตั้งแต่แรกคลอดนอนแบเบาะแล้ว
"ไขตำหนิลับ ในองค์พระรอดพิมพ์ใหญ่"
ถึงเวลานี้เห็นทีจะไม่กล่าวถึงความเป็น "พระรอด" เสียไม่ได้ กระผมจึงได้ใช้เวลาพยายามไขปริศนาในองค์พระรอดและหาข้อยุติในความน่าจะเป็นพระแท้หรือความเป็นพระแท้ถึงยุคสมัย ในแบบฉบับของกระผมเอง โดยได้พยายามแตกความรู้จากในทุกมิติความรู้และจากตำราของท่านผู้รู้ ผู้ชำนาญจากแหล่งความรู้ต่างๆพระรอด..พิมพ์ใหญ่ องค์ในภาพ กระผมเพียรพยายามส่องและศึกษาเป็นเวลานานหลายเดือน (....เชื่อว่า..ไม่มีใครที่ส่องพระแล้วรู้แท้ปลอมในครั้งเดียว) สุดท้ายก็ได้แตกแขนงการศึกษาพระรอดองค์นี้ ออกมาในแบบฉบับของกระผมเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพอใจ แต่ก็ยังต้องศึกษากันต่อไปอีกและไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมจะนำมาชี้ขาดความเป็นพระรอดพิมพ์ใหญ่องค์แท้จริง แต่น่าจะมีประโยชน์ในการนำไปต่อยอดกระบวนการเรียนรู้และทิ้งไว้ให้สืบสานเรื่องราวต่อไป สำหรับคนรุ่นอนาคตในยุคดิจิตอลด้วย...
พระรอด...เป็นพระเครื่องกลุ่มเนื้อดินเผา อันยากที่จะชี้ตำหนิได้ (ไม่เหมือนพระเครื่องรุ่นใหม่ที่ปั๊มให้คมชัดด้วยโลหะ) ฉะนั้น...พระเครื่องกลุ่มเนื้อดินเผาต้องใช้ความชำนาญบวกประสบการณ์ในการดูเนื้อพระเป็นหลัก รองลงมาคือ..การศึกษาตำหนิโดยรวม เพื่อชี้แนวทางความเป็นพระแท้ของพระเครื่ององค์นั้นเท่านั้น กลุ่มพระเนื้อดินเผายากที่จะเหมือนกันได้ทุกองค์
แบบฉบับการศึกษา พระเครื่องกลุ่มเนื้อดินเผา ในแบบการศึกษาของกระผมเอง
๑.ดูเนื้อ - ความเก่าและความเป็นธรรมชาติ (ชี้ขาดความเป็นพระแท้ได้)๒.ดูตำหนิพิมพ์โดยรวม เพื่อดูพุทธศิลป์ของความน่าจะเป็นพระแท้ (ใช้ประกอบความน่าจะเป็นพระแท้เท่านั้น)
ศาสตร์พระรอด...เปิดเผยเป็นครั้งแรก
เผยความลับ พระรอด....ในรอบ ๑,๓๐๐ ปี"พระรอดลำพูนดำ องค์ปฐมบท"
"พุทธศาสตร์..ขับ..พุทธศิลป์"
พระรอดพิมพ์ใหญ่องค์นี้ มีเนื้อในดำหรือที่นิยมเรียกตามความหายากว่า "พระลำพูนดำ" แต่คราบผิวเป็นสี(วรรณะ)เหลืองขุ่นนวลหรือสีเหลืองไพล มีรายละเอียดพิมพ์ทรง มิติที่คมชัด รายละเอียดสมบูรณ์ เท่าที่ผมเคยพบเห็นมา จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่าน่าจะพิมพ์ในจำนวนแรกๆของการพิมพ์พระ ซึ่งแม่พิมพ์ยังไม่ถูกอุดหรือติดสะสมจากมวลสารที่เกิดจากการพิมพ์พระจำนวนซ้ำๆหลายครั้ง หรือเป็นพระที่พิมพ์จากแม่พิมพ์แรกๆ ก่อนที่จะมีการถอดแม่พิมพ์ที่สอง ที่สาม เพื่อการพิมพ์เพิ่มจำนวนและแต่งแก้ไขรายละเอียดเพิ่ม พระรอดองค์นี้ ที่น่าจะเกิดจากแม่พิมพ์แรก จึงมีความลึก คม ได้มิติความสูงและสัดส่วนของกลุ่มโพธิ์ที่ชัดเจน รายละเอียดส่วนพระพักตร์ที่ลึกคมชัด โดยเฉพาะดวงพระเนตรที่สวยคม แฝงด้วยพลังอำนาจ ดุจมีชีวิต และส่วนอื่นๆสมบูรณ์ จึงขอเรียกนามว่า "พระรอดองค์แรกเริ่มหรือพระรอด องค์ปฐม"
"อัตลักษณ์พื้นฐานของพระรอดลำพูนดำ องค์ในภาพ"
ตามภาพประกอบด้านบน
1.โพธิ์รูปขวาน - เป็นโพธิ์ที่มีลักษณะคล้ายรูปขวาน
ไทย ด้ามสั้น แต่ก็ยังมีส่วนแอ่งเว้าแบบเป็นธรรมชาติ
2.โพธิ์เหลี่ยมแหลม - ลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยม
ข้าวหลามตัด แต่มีสันเหลี่ยมคมที่ด้านบนยาวเป็น
แนว และมีมุมปลายที่แหลม ทั้งมุมบนและมุมล่าง
3.โพธิ์ยอดสูง - เป็นโพธิ์ที่มียอดสูงที่สุด มีเหลี่ยมมีมุม
มีมิติที่ชัดเจน ถ้าเป็นองค์ที่พิมพ์ครั้งหลังๆ อาจจะดู เหมือนก้อนเนื้อเกิน เนื่องจากการทับถมหรือ
สะสมกันที่แม่พิมพ์ของมวลเนื้อสสาร
4.โพธิ์ก้านมุม - เป็นโพธิ์ที่มีลักษณะเหมือนใบโพธิ์มาก
ที่สุด และมีก้านยาวลงมา ตัดกับเส้นประภามณฑล
จึงมองดูมองดูเหมือนลักษณะก้านโพธิ์หักมุมเฉียง
ขึ้นไป องค์นี้โพธิ์เขยื้อนนิดหน่อย จนดูเหมือนโพธิ์
ซ้อน
5.โพธิ์จิ๋วหางหนาม - ลักษณะเป็นรูปนูนคล้ายดอกบัว
ขนาดจิ๋ว มีหางหนามยาว เรียวลดขนาดเล็กลงไปที่
ปลายหาง วิ่งเป็นเส้นสองเส้น แตกออกไปคล้ายหาง
แมงดาทะเล (พระเลียนแบบไม่สามารถทำปลายหาง
ให้เรียวเล็กลงไปได้ ขนาดหางจะดูเท่ากันและดู
ทื่อๆ) แต่ลักษณะรูปร่างของโพธิ์นี้ ไม่ว่าจะมีรูปร่าง
ลักษณะใด แต่ที่สำคัญ ต้องมีหางวิ่งคู่และเรียวเล็ก
ลงไป
6.รอยครูดแม่พิมพ์ - ตรงเหลี่ยมมุมหน้าแข้งขวา
(พระชงฆ์ขวา) ด้านล่าง มักปรากฏรอยครูดของแม่
พิมพ์
ไทย ด้ามสั้น แต่ก็ยังมีส่วนแอ่งเว้าแบบเป็นธรรมชาติ
2.โพธิ์เหลี่ยมแหลม - ลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยม
ข้าวหลามตัด แต่มีสันเหลี่ยมคมที่ด้านบนยาวเป็น
แนว และมีมุมปลายที่แหลม ทั้งมุมบนและมุมล่าง
3.โพธิ์ยอดสูง - เป็นโพธิ์ที่มียอดสูงที่สุด มีเหลี่ยมมีมุม
มีมิติที่ชัดเจน ถ้าเป็นองค์ที่พิมพ์ครั้งหลังๆ อาจจะดู เหมือนก้อนเนื้อเกิน เนื่องจากการทับถมหรือ
สะสมกันที่แม่พิมพ์ของมวลเนื้อสสาร
4.โพธิ์ก้านมุม - เป็นโพธิ์ที่มีลักษณะเหมือนใบโพธิ์มาก
ที่สุด และมีก้านยาวลงมา ตัดกับเส้นประภามณฑล
จึงมองดูมองดูเหมือนลักษณะก้านโพธิ์หักมุมเฉียง
ขึ้นไป องค์นี้โพธิ์เขยื้อนนิดหน่อย จนดูเหมือนโพธิ์
ซ้อน
5.โพธิ์จิ๋วหางหนาม - ลักษณะเป็นรูปนูนคล้ายดอกบัว
ขนาดจิ๋ว มีหางหนามยาว เรียวลดขนาดเล็กลงไปที่
ปลายหาง วิ่งเป็นเส้นสองเส้น แตกออกไปคล้ายหาง
แมงดาทะเล (พระเลียนแบบไม่สามารถทำปลายหาง
ให้เรียวเล็กลงไปได้ ขนาดหางจะดูเท่ากันและดู
ทื่อๆ) แต่ลักษณะรูปร่างของโพธิ์นี้ ไม่ว่าจะมีรูปร่าง
ลักษณะใด แต่ที่สำคัญ ต้องมีหางวิ่งคู่และเรียวเล็ก
ลงไป
6.รอยครูดแม่พิมพ์ - ตรงเหลี่ยมมุมหน้าแข้งขวา
(พระชงฆ์ขวา) ด้านล่าง มักปรากฏรอยครูดของแม่
พิมพ์
พระพักตร์พระรอดจะก้มต่ำเล็กน้อย แบบสงบนิ่ง ดูสุขุม อันเป็นบุคลิกของผู้บำเพ็ญตบะ แตกต่างจากพระคง ซึ่งพระคงจะเงยหน้าแบบเชิดคาง อันเป็นบุคลิกของผู้พร้อมที่จะเผชิญ...
จากการค้นพบ..เม็ดแร่กายสิทธิ์ ที่ฝังบรรจุไว้ในช่วงบริเวณท้ายทอยองค์พระรอดพิมพ์ใหญ่ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่บังคับให้..พระรอด พิมพ์ใหญ่อยู่ในอิริยาบถ...ก้มพระพักตร์หรือก้มหน้า
จากการค้นพบ..เม็ดแร่กายสิทธิ์ ที่ฝังบรรจุไว้ในช่วงบริเวณท้ายทอยองค์พระรอดพิมพ์ใหญ่ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่บังคับให้..พระรอด พิมพ์ใหญ่อยู่ในอิริยาบถ...ก้มพระพักตร์หรือก้มหน้า
แร่กายสิทธิ์ในองค์พระรอด
พระเมาลี
พระเมาลี ยกแยกออกจากส่วนพระเศียร มีร่องเห็นได้ชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบร่องเหล่านี้จะถูกอุดทับที่แม่พิมพ์จากมวลสสาร พระ..องค์ที่พิมพ์ครั้งหลังๆ จึงดูเสมือนว่าพระเมาลีกับส่วนพระเศียรติดกัน มองไม่เห็นแนวร่อง
พระอุณาโลมก็เช่นกัน แบ่งครึ่งไรพระศกอย่างชัดเจน พร้อมร่องไรพระศกที่ตรงกลางส่วนที่ติดกับพระอุณาโลมมีลักษณะเป็นแอ่งแผ่กว้างลึก ซึ่งพระที่พิมพ์ครั้งหลังๆ ร่องไรพระศกจะดูเป็นเส้นแคบและดูตื้น
ดวงพระเนตรเป็นส่วนสัน ชัดเจน มองดูเหมือนมีแววพระเนตร (แววตา) ที่ประดุจมีชีวิต ซึ่งเป็นธรรมชาติของอายุกาล ดูไม่กระด้างหรือแข็งทื่อ แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ
"เผยอัตลักษณ์ พระรอดพิมพ์ใหญ่ (องค์ในภาพ)"
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๑) รอยครูดส่วนแก้มและใบหูซ้าย
ปกติทั่วไป จะมีการชี้บอกตำหนิรอยครูดที่แก้มซ้ายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงของพระที่พิมพ์ดินเผา ด้วยแม่พิมพ์โบราณ ส่วนใหญ่จะปรากฎรอยครูดที่ส่วนขอบข้างสันตั้งของพิมพ์ แต่อาจจะเจื่อนหายไปตามกาลเวลาและจากการซ่อมแซมประสานรอยผิวตามธรรมชาติ
ในพระรอดองค์นี้ ปรากฏรอยครูดของแม่พิมพ์ในส่วนแก้มซ้ายและใบหูชัดเจน เป็นครั้งแรกที่มีการชี้รอยครูดข้างใบหูเช่นนี้
(ตัวอย่าง) รอยครูดแม่พิมพ์ในส่วนต่างๆของขอบข้างสันตั้ง
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๒) แนวเส้นแม่พิมพ์แตก (เส้นวิ่งหนึ่ง-สอง-สาม)
แนวเส้นแม่พิมพ์แตก นับว่าเป็นจุดคลาสสิคของการดูพระรอด อัตลักษณ์เฉพาะวัดมหาวัน จึงขอนำมาเปิดเผยเป็นครั้งแรกที่เวบบล็อกแห่งนี้เท่านั้น
เส้นแตกที่วิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ จาก "เส้นเดียว" ที่เริ่มวิ่งตั้งแต่ข้างใบหูซ้าย (พระกรรณซ้าย) ไล่ลงมาจรดขอบบ่าแล้ววิ่งเรียบลงมาตรงข้างขอบแขน ปีนขึ้นบนข้อศอกแล้วโค้งหักลงมา มุดหายไปตรงส่วนพระบาท ปรากฏอีกทีตรงซอกแอ่งแล้วปีนจางๆขึ้นบนพระชานุ (เข่า) แล้วปีนลงมาแตกออกเป็น "สองเส้น" จากนั้นมุดหายไป โผล่อีกที ใต้สันฐานที่หนึ่ง วิ่งโค้งลงไป กลายเป็น "สามเส้น" จรดฐานที่สอง
ลักษณะการวิ่งของเส้นแตก จึงมีความคลาสสิคเป็นอย่างมาก ไล่จาก "เส้นเดียวแยกเป็นสองเส้นและแยกจบที่สามเส้น" ผมจึงเรียกว่า "เส้นวิ่ง หนึ่ง - สอง -สาม"
ลักษณะการวิ่งของเส้น (หนึ่ง - สอง -สาม)
ลักษณะการวิ่งของเส้น (หนึ่ง - สอง -สาม)
ซึ่งเส้นแตกนี้ ที่ปรากฏในพระรอดองค์อื่นทั่วไป จะไม่ปรากฏเส้นวิ่งตั้งแต่บ่าลงมา แต่จะปรากฏเหลือเฉพาะส่วนข้อศอกหรือปีนขึ้นบนแขนเหนือข้อศอกแล้วก็หายไป "พระรอด..." องค์นี้จึงน่าจะเป็นพระที่พิมพ์จากแม่พิมพ์แรกๆ ก่อนที่จะมีการถอดแม่พิมพ์ที่สอง ที่สาม และแต่งแก้ไขรายละเอียดเพิ่ม จึงทำให้เส้นวิ่งตั้งแต่ข้างใบหูซ้าย (พระกรรณซ้าย)..หายไปจากการแต่งพิมพ์
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๓) แนวเส้นแม่พิมพ์แตก (เส้นวิ่งกิ่งโพธิ์)
แนวเส้นวิ่งหรือเส้นแตกสุดคลาสสิคอีกจุดหนึ่งของพระรอดพิมพ์ใหญ่ (องค์นี้) คือแนวเส้นแตกหรือเส้นเกิน ดูคล้ายกิ่งโพธิ์ที่หย่อนกิ่งลงมารับหรือบรรจบกับก้านใบโพธิ์ได้อย่างพอดิบพอดี
ลักษณะความเป็นธรรมชาติของเส้นนี้ จะเริ่มที่ส่วนเส้นหนานูน ข้างส่วนยอดพระกรรณซ้าย แล้วยื่นหย่อนลงมา หนาบ้าง บางบ้าง โค้งบ้าง จางหายบ้างและตรงหรือโค้งบ้าง ดูเป็นธรรมชาติ ไม่วิ่งลงไปทื่อๆ
ด้วยความที่น่าจะเป็นพระ..ที่พิมพ์ในลำดับต้นๆ ร่องลายเส้นสายที่เกิดจากการแกะแม่พิมพ์จึงยังคงอยู่และชัดเจน
ช่องไฟ - ลักษณะของเส้นแตกมหัศจรรย์ที่จบลงด้วยการแยกออกเป็นสามเส้น ปรากฏช่องไฟมีระยะห่างที่ลงตัว และไม่ปรากฏเส้นตัดขวางของเส้นแซมฐานวิ่งผ่านในทุกช่องไฟ
รอยขีดเส้นฐาน - ร่องลายที่เกิดจากการแกะช่องแม่พิมพ์ระหว่างเส้นฐาน มีลักษณะเป็นเส้นขีดลงมา จนดูเหมือนเส้นซี่ลูกกรง ซึ่งพระ..ที่พิมพ์ตามครั้งหลังๆ เส้นซี่ลูกกรงนี้อาจจะเลือนหายไป เนื่องจากการสะสมตัวของมวลเนื้อสสารที่เบ้าแม่พิมพ์
(ภาพรวม)
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๕) เส้นผ้าทิพย์และเส้นแซมฐาน
ความเป็นพระรอดวัดมหาวัน (พิมพ์ใหญ่) อัตลักษณ์แห่งความคลาสสิคอีกจุด ที่จะขาดเสียมิได้ คือเส้นผ้าทิพย์และเส้นแซมฐาน
เส้นผ้าทิพย์ - ผ้าทิพย์คือผ้าเอกลักษณ์ ที่ใช้รองประทับนั่งแล้วโผล่ยื่นออกมา ซึ่งมีเฉพาะรูปเคารพองค์ พระพุทธ..เท่านั้น
ลักษณะเป็นเส้นวิ่งบางๆ ดูเป็นธรรมชาติ และไม่เป็นเส้นเดียวกัน มุดเลือนหายไปใต้พระชานุซ้าย (เข่าซ้าย) แล้วค่อยๆโผล่หลังเส้นแตกสองเส้นที่ยื่นลงมา..
ในองค์พระ....ที่พิมพ์ครั้งหลังๆ อาจจะเหลือเส้นผ้าทิพย์เฉพาะตรงช่วงกลางเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ยกกล่าวมาแล้วข้างต้น
เส้นแซมฐาน - คือเส้นวิ่งระหว่างฐานชั้นบนสุดกับฐานชั้นรองลงมา มีลักษณะของเส้นที่วิ่งไม่ต่อเนื่อง ดูเป็นธรรมชาติ บิดพริ้วสวยงามเนื่องจากปฎิกิริยาจากไฟความร้อนที่เผาและวิ่งตัดกับเส้นแตกสามเส้น โดยเว้นช่องไฟภายใน นับว่ามีความคลาสสิค มหัศจรรย์มาก..
ลักษณะของเส้นวิ่งแซมใต้ฐานนี้ มักจะปรากฎความหนาบางไม่เท่ากัน หากสังเกตให้ดี ความหนาของเส้นเกิดจากการม้วนพับลงมาของเส้น เนื่องจากปฏิกิริยาของความร้อนที่เกิดจากการเผานั่นเอง จึงทำให้เส้นม้วนห่อตัวลงมา ดูเป็นสันหนา
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๖) มิติพระรอด (องค์ในภาพ)
(มิติองค์พระ)
ในความเป็นจริงแล้ว ผมค้นพบว่าพระรอดมีปฏิมากรรมแบบลอยตัว โดยช่าง..ผู้แกะแม่พิมพ์ พยายามยกแยกส่วนลำพระองค์ ให้ลอยออกมาจากพื้นผนังโพธิ์ด้านหลัง เฉกเช่นเดียวกับองค์พระประธานปูนปั้นในโบสถ์ทั่วๆไป ที่จะประดิษฐานตั้งเด่นออกมาจากผนังด้านหลังองค์พระ...
และในองค์พระรอดพิมพ์ใหญ่นี้ ผนังข้างฝั่งด้านขวาองค์พระ หากพิจารณาให้ดี จะนูนสูงกว่าผนังฝั่งด้านซ้ายองค์พระ โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างพระพักตร์
และในองค์พระรอดพิมพ์ใหญ่นี้ ผนังข้างฝั่งด้านขวาองค์พระ หากพิจารณาให้ดี จะนูนสูงกว่าผนังฝั่งด้านซ้ายองค์พระ โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างพระพักตร์
แนวลาดเอียงบริเวณไหล่องค์พระรอด.. แสดงมิติความสูงต่ำและเป็นปฏิมากรรมแบบนูนลอยตัวชัดเจน
(มิติองค์โพธิ์)
กลุ่มโพธิ์ที่มีมิติ ลอยตัวเด่น จึงทำให้พื้นที่รอบๆองค์พระเทลาดเอียงลง เว้าลงเป็นแอ่งนิดๆ (สังเกต- โพธิ์ยอดสูง โพธิ์ที่สูงที่สุด)
พระรอด..ปฏิมากรรมพระเครื่องที่เล็กที่สุดในชุดพระเบญจภาคี แต่กลับมีรายละเอียดของฝีมือเชิงช่างที่สวยงาม ละเอียดอ่อน และแฝงด้วยความน่าเกรงขามเป็นที่สุด
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๗) ทองกร (กำไลข้อมือ)
ปฏิมากรรมพุทธศิลป์แบบทวารวดีทรงเครื่อง อันมีกำไลข้อพระกรหรือทองกรสวมประดับ อันเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธรูปทรงเครื่อง ซึ่งมีมาและเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศิลป์แบบทวารวดี....พันกว่าปีมาแล้ว
พระรอด..องค์ในภาพ นับว่ามีรายละเอียดครบทุกมิติ เป็นครั้งแรกที่เห็นทองกรหรือกำไลข้อมือ ซึ่งกำไลข้อมือซ้ายปรากฏเป็นกำไลคู่ ส่วนกำไลข้อมือขวา มองดูเหมือนกำไลวงใหญ่วงเดียว
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๘) อายุกาล
พระรอด..วัดมหาวันวนาราม แห่งอาณาจักรหริภุญชัย (ลำพูน) กับกาลเวลาซึ่งลุล่วงมากว่าพันสามร้อยปีแล้ว ร่องรอยช่องว่างและเนื้อมวลสารย่อมมีเปลี่ยนแปลง ดังเช่น...
- สีผิวมีการเปลี่ยนแปลง
- พรายดินเสื่อมสลาย
- ชั้นผิวที่หลากหลาย
- มวลเนื้อที่ละเอียด
- การซ่อมแซมผิวหรือการเกิดของหินปูน(Calcite)
- ความกลมกลึงของเหลี่ยมสันต่างๆ
- ดวงพระเนตร (ดวงตา) ดุจมีชีวิต
การสลายและประสานงอกซ่อมแซมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ในส่วนฐานใต้ของพระรอดองค์นี้ที่พับม้วนเข้ามา สลายกลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไม่มีช่องว่างหรือเกิดเนื้อตัน....
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๙) เนื้อดำ
ที่สุดแห่งพระ..ลำพูน จนกลายเป็นภาพยนตร์อันโด่งดัง (ลำพูนดำ) คือพระสกุลลำพูนที่มีมวลเนื้อในดำ
การมีชั้นผิวในที่ดำ เกิดเนื่องจากความร้อนที่เรียกว่า "ระอุ" หรือแทบจะไม่โดนไฟที่เผาอบเลย อาจจะเป็นองค์ที่วางอยู่ตรงกลางสุดหรือวางชั้นในสุดที่มีพระองค์อื่นบดบังเปลวไฟไว้ สีผิวภายนอกจึงเป็นสีส้มอิฐแบบจางๆอ่อนๆ เนื่องจากโดนไฟน้อย ประกอบกับสารละลายจากภายในมาสะสมคลุมที่ผิวนอกสุด โดยมีเนื้อแท้เป็น...สีดำ
ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปีหรือมากกว่าพันปีในองค์พระรอด เนื้อมวลสารกลับกลายและเปลี่ยนแปลง ส่วนผิวที่ต้องไฟอ่อนๆจางๆ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพผิวปนสารละลายจากหินปูนที่ออกมาจากภายใน แล้วมาสะสมที่ผิว จึงทำให้ผิวดูหนึกนุ่มและเป็นผิวที่มีความละเอียดสูง ปนมันหน่อยๆ (ยิ่งขัดยิ่งมัน แบบขัดมันปูนฉาบในการก่อสร้าง) ที่นิยมเรียกกันว่า "คราบสีผิว" กลายเป็นชั้นสีผิวที่ปนความหนึกนุ่มจากความละเอียดของหินปูนและธาตุเหล็กที่ละลายออกมาสะสม
อนึ่ง...เมื่อพระ...กลุ่มดินเผา มวลสารภายในเกิดการละลายสลายตัวให้ธาตุเหล็กและหินปูน น้ำหนักองค์พระจึงแปรเปลี่ยนไปด้วย แบบที่เราเรียกกันว่า น้ำหนักตึงมือหรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
ส่วนพระ...องค์ที่ดำทั้งองค์ เกิดจากองค์พระไม่ได้ต้องไฟเลย คือวางอยู่ตรงจุดอับไฟ องค์พระจึงไม่มีผิวไฟ ถ้าเป็นเหรียญที่มีคราบไฟก็จะเรียก "ผิวไฟหรือกะไหล่ไฟ"
ผ่านกาลเวลาหลายร้อยปีหรือมากกว่าพันปีในองค์พระรอด เนื้อมวลสารกลับกลายและเปลี่ยนแปลง ส่วนผิวที่ต้องไฟอ่อนๆจางๆ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพผิวปนสารละลายจากหินปูนที่ออกมาจากภายใน แล้วมาสะสมที่ผิว จึงทำให้ผิวดูหนึกนุ่มและเป็นผิวที่มีความละเอียดสูง ปนมันหน่อยๆ (ยิ่งขัดยิ่งมัน แบบขัดมันปูนฉาบในการก่อสร้าง) ที่นิยมเรียกกันว่า "คราบสีผิว" กลายเป็นชั้นสีผิวที่ปนความหนึกนุ่มจากความละเอียดของหินปูนและธาตุเหล็กที่ละลายออกมาสะสม
อนึ่ง...เมื่อพระ...กลุ่มดินเผา มวลสารภายในเกิดการละลายสลายตัวให้ธาตุเหล็กและหินปูน น้ำหนักองค์พระจึงแปรเปลี่ยนไปด้วย แบบที่เราเรียกกันว่า น้ำหนักตึงมือหรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
ส่วนพระ...องค์ที่ดำทั้งองค์ เกิดจากองค์พระไม่ได้ต้องไฟเลย คือวางอยู่ตรงจุดอับไฟ องค์พระจึงไม่มีผิวไฟ ถ้าเป็นเหรียญที่มีคราบไฟก็จะเรียก "ผิวไฟหรือกะไหล่ไฟ"
"คราบ" ก็คือวิวัฒนาการย่อยสลายของมวลสสารภายใน แล้วมาสะสมที่ชั้นผิวภายนอก เช่นเดียวกับชั้นผิวของหินหรือกลุ่มหินอัคนี
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๑๐) รอยยุบหดด้านหลัง
ร่องรอยการยุบหดตัว แบบเป็นสันร่องวิ่งขึ้นเป็นเส้นยาวหลายเส้น (ไม่ใช่ลายนิ้วมือ) ตรงกลางระหว่างเส้นคือร่องยุบตัว ร่องรอยเหล่านี้มักปรากฏในพระเนื้อดิน
พระที่มีความเก่ามากๆ อย่างพระรอดองค์นี้ เส้นสันจะเห็นชัดและมีร่องยุบตัวลึก
(ตัวอย่าง ร่องการเซ็ตตัวในหินอัคนีชนิดมวลละเอียด)
อนึ่ง...ร่องยุบตัวแบบนี้มักเกิดในชั้นผิวของหินเช่นเดียวกัน
อนึ่ง...ร่องยุบตัวแบบนี้ ดูคล้ายเส้นลายพิมพ์นิ้วมือ จึงมักถูกเรียกผิดๆว่าเป็น "ลายพิมพ์นิ้วมือ" ซึ่งความจริงคือร่องรอยการเซ็ตตัวของพื้นผิววัสดุ...ตามกาลเวลา (ลองส่องดูลายพิมพ์นิ้วมือเรา)
อนึ่ง...เส้นลายพิมพ์นิ้วมือในองค์พระก็มีปรากฏอยู่..เช่นในด้านหลังองค์พระนางพญา...พระผงสุพรรณ...เป็นต้น แต่ต้องเป็นเส้นโค้งและโค้งไปในทิศทางเดียวกันและมักปรากฏโค้งเป็นแนวนอน ถ้าชัดหน่อยก็จะเห็นจุดกลางหรือเส้นวงก้นหอย ....
ส่วนปลายด้านหลังของพระรอด..มักจะงองุ้มไปข้างหน้า เนื่องจากเป็นส่วนที่บางและจากการถูกความร้อน
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๑๑) ปีกพระรอด
ปีกพระรอดหรือเนื้อปีก คือเนื้อส่วนเกินเลยจากขอบแม่พิมพ์ออกมาด้านข้างทั้งสองข้าง พระรอด..เป็นพระที่ไม่ตัดขอบปีก เพราะเป็นพระขนาดเล็ก หากมีการตัดเนื้อปีกอาจเป็นการทำให้องค์พระชำรุดด้วยเนื้อองค์พระที่อาจติดมา
"การม้วนบิดแบบปลาหมึกย่าง" เมื่อนำพระ..มาเผาอบ จะเกิดการม้วนบิดพับของเนื้อส่วนเกินหรือเนื้อปีกโดยจะม้วนพับบิดงอและม้วนพับสวนทางกับทิศทางของความร้อน เช่นเดียวกับการย่างปลาหมึกแห้ง....
อัตลักษณ์ ส่วนที่ (๑๒) ผิวคราบเหลืองไพล
ผิวคราบเหลืองไพลหรือคราบเหลืองอมส้มนิดๆ เกิดขึ้นได้เฉพาะพระเนื้อดินที่มีอายุหลายๆร้อยปีขึ้นไปถึงพันกว่าปี เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมของกรุที่มีความชื้นสูงแต่ไม่ถึงกับเปียกและสภาพในกรุสะอาด ทำให้ไม่ปรากฏคราบอื่นๆ เมื่อสารละลายหรือหินปูนภายในละลายตัวออกมาปนกับองค์ประกอบแร่เหล็กในดิน มาสะสมกันที่ผิวพระ จึงทำให้ผิวองค์พระดูมัน ลื่น และละเอียด
ความชื้น + สารละลายจากภายใน-กลายเป็นคราบพระ
เกิดในดินกลายเป็นคราบ เช่นเดียวกัน หากเกิดในโลหะ ก็คือสนิมนั่นเอง
(ตัวอย่าง)
คราบเหลืองไพล
พระซุ้มกอ กำแพงเพชร กรุวัดพิกุล
(อายุประมาณ ๘๐๐ ปี)
คราบเหลือง อิฐโบราณอายุประมาณกว่า ๘๐๐ ปี (คำนวณจากปีที่สร้างวัดและลักษณะสถาปัตยกรรม)
คราบเหลืองที่ปรากฏบนอิฐโบราณ มีลักษณะ มันวาว นุ่ม ดูไม่แห้ง ลักษณะคล้ายกับการเกิดคราบในพระเนื้อดินเผา ที่มีอายุหลายร้อยปีขึ้นไป
ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และที่กระผมเขียนเล่ามาไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความเป็นพระรอด แต่เป็นโชคดีของผมที่ได้ครอบครองและนำมาเล่าเผยแพร่ หวังเพียงให้อนุชนคนรุ่นต่อๆไปได้ศึกษาและสืบสานเรื่องราวให้คงอยู่ ซึ่ง "พระรอด...คือ..ศรัทธาวัฒนธรรม" ของคนล้านนาอย่างแท้จริง
ภาพและเรื่อง โดย...นักเดินทางเข้าป่าและเล่าเรื่อง
ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย
สงวนสิทธิ์ ๒๕๖๑
apichatimm@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น