พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าข้างกองไฟ ตอน..อิทธิฤทธิ์คมเขี้ยวพญาหมีกับอาถรรพ์แห่งป่า


 " ไพรอาถรรพ์ "



      กลางเดือนมิถุนายน...หน้าฝนเริ่มมาเยือน ทำให้ป่าเริ่มคืนสู่ความเขียวขจีอีกครั้ง ทำให้คณะเราชักชวนกันเดินทางเข้าชมบรรยากาศแห่งป่า หลังจากนัดวันเวลากันแล้วคณะเราจึงเริ่มออกเดินทางซึ่งเป้าหมายอยู่ที่ป่ารอยตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน อำเภอหนึ่งของจังหวัดตาก เนื่องจากว่าป่าแถวๆนี้ธรรมชาติ ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าต้นไม้และสัตว์ป่า ห่างไกลจากการสัญจรมาเยือนของผู้คน กลิ่นอายแห่งป่า...ยังคงความบริสุทธิ์ชวนให้น่าสัมผัสเป็นอย่างยิ่

   ณ กลางป่าลึกแห่งหนึ่งชายแดนจังหวัดตาก รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสองคันนำกลุ่มเพื่อนสมาชิกผู้รักป่ารวมทั้งหมดสี่คนมาหยุดบนยอดเขาถ้ดจากหมู่บ้านมาราวๆสองกิโลเมตร ซึ่งจุดที่เราจะใช้พักค้างแรมในยามค่ำคืนนี้พอจะมองเห็นชายคาหมู่บ้านอยู่ลับๆในเบื้องล่างของหุบเขา ต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกัน ไม่มีร่องรอยการตัดโค่นไม้เลย เราเลือกเอาทำเลที่เป็นลานหญ้ากว้างพอประมาณ หลังจากได้ทำเลแล้วจึงจัดการกับธุระส่วนตัวของใครของมัน ส่วนผมก็จัดการไล่ความชื้นโดยเริ่มก่อไฟในเตาถ่านที่นำพามาเป็นลำดับแรก สภาพอากาศหรือบรรยากาศป่าในยามนี้...เวลาประมาณห้าโมงเย็น ลมพัดโชยนิดๆ กลุ่มเมฆฝนเคลื่อนคล้อยลอยต่ำในบางช่วง ทำให้เกิดความชื้นในอากาศ ทำให้อากาศมีความเย็นพอประมาณ ไฟถ่านในเตาจึงพอที่จะขจัดไล่ความชื้น ให้ความอบอุ่นในยามนี้ได้เป็นอย่างดี



    จัดการกับเสบียงข้าวของ กางเต้นท์ทำที่หลับที่นอนเรียบร้อยแล้ว จึงพากันเดินสำรวจภูมิประเทศ พบว่าสภาพป่าแถวนี้มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก บางช่วงโล่งของแนวต้นไม้ สามารถมองไกลพอจะมองเห็นทิวเขาถัดไปข้างหน้า กลุ่มเมฆปกคลุมยอดเขาดุจดังถูกปกคลุมหรือห่อหุ้มด้วยปุยนุ่น มองดูขาวนวล เย็นสบายตา เดินสำรวจถัดเข้าไปในแนวป่า...ความรู้สึกวังเวงพิกล ยิ่งเพ่งมองลึกเข้าไป ป่ายิ่งมีความมืด เสียงแห่งป่า...เสียงลมพัด ใบไม้สั่น กิ่งไม้ไหว ประกอบการปรุงแต่งของจิต ทำให้รู้สึกว่าคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงและหลบซ่อนอยู่...เหมือนกับว่า...มันกำลังจ้องมองดูเรา แบบที่เราเรียว่า "จิตหลอน" นั่นเอง ...."พอละ" บอกกับตัวเอง ก่อนจะหันกลับเดินมายังที่พักพร้อมกับการสลับหน้าหันกลับไปมองข้างหลังเป็นช่วงๆ ความรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามเราห่างๆ เสียงแว่วตามมาติดๆ....พลางครุ่นคิด ลมเย็นก็พัดโชยผ่านวูบไปชั่วขณะหนึ่ง แบบสัมผัสได้...รีบเร่งฝีเท้า หันซ้ายแลขวา มองหน้ามองหลัง ไม่มีอะไร เงียบ..แล้วก็เงียบ..แต่เย็น เย็นแบบความรู้สึกชวนให้ขนลุก ลมหยุดพัด ใบไม้หยุดสั่น กิ่งไม้หยุดไหว เอ....! รึว่า..ป่า..มันจะเริ่มเปลี่ยนไป.....


   พระอาทิตย์คล้อยต่ำเลื่อนลับขอบฟ้าเวลาก็ประมาณเกือบหนึ่งทุ่มในป่าพระอาทิตย์จะตกดินช้ากว่าในเมือง เนื่องจากเราอยู่บนป่ายอดดอยสูง จึงสามารถเห็นพระอาทิตย์โคจรลับขอบฟ้ากินระยะเวลานานขึ้น กลางวงสนทนาในยามค่ำคืนนี้ เนื้อย่างหอมๆบนเตาถ่าน  ควันไฟ แสงไฟจากเตาถ่าน ประกอบแสงไฟจากโคมไฟเล็กๆสองอัน อันนึงวางบนโต๊ะ อีกอันวางบนหลังคารถเพื่อช่วยกระจายแสงสว่าง ช่างให้ได้อรรถรสของการกินแบบภายใต้บรรยากาศแห่งการอยู่ป่า สุราดี...เพิ่มบรรยากาศในการเล่าเรื่องพูดคุยกันอย่างได้อารมณ์สนุกสนาน บรรยากาศยามค่ำคืนนี้ ลมพัดโชย กิ่งไม้ต้องลมไหว เสียงแว่วไกลมาจากแนวป่าและรอบๆข้าง เสียงดังแขวกๆ ฟังชัดเจนว่าเป็นเสียงธรรมชาติที่เกิดจากการกระทำของสัตว์ป่า สลับเสียงโขกร้องอยู่ไกลๆ ด้วยประสบการณ์จึงพอจะรู้ได้ว่าคือเสียงเก้งร้อง หรือทางเหนือเรียกว่าเสียงฟานโขก ดาวบางดวงเปล่งแสงริบหรี่สลับมืดแสงในบางช่วงเพราะบดบังด้วยกลุ่มเมฆฝน เวลาล่วงเข้าไป เหลือบดูนาฬิกาเวลาแค่สองทุ่มกว่าๆ ป่าช่างมืดมิดเหมือนในตอนดึกสงัดเสียจริงๆ พลัน...! เสียงทุกเสียง ความเคลื่อนไหวทุกอย่างที่ดำเนินมา ต่างพากันหยุดเงียบ  หยุดการดำเนินกิจกรรม ข้าพเจ้าสังเกตได้ถึงความเงียบ วังเวงผิดปกติ บวกกับความรู้สึกที่เผชิญมาในช่วงหัวค่ำตอนออกเดินสำรวจแล้ว จึงคอยสังเกตถึงความผิดปกติรอบๆตัว โดยที่เพื่อนเราชาวคณะนักท่องป่า ยังไม่มีใครรับรู้ได้ว่า ป่ามันเริ่มเปลี่ยนไป....        
     
      ความเงียบสงัดบวกกับความมืดวังเวงซึ่งข้าพเจ้ารับรู้ได้ พลัน..ทันใดนั้นเอง...! จากแนวป่าด้านข้าง ไม้ยืนต้นขนาดกลางต้นหนึ่ง ที่ดกเต็มไปด้วยใบและกิ่งก้านสาขากลับมีอาการสั่นไหวคล้ายลมพัดกรรโชก เสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน ใบไม้พัด...ดุจต้องลมดังหวีดหวิว "เอาล่ะวะ"...คิดในใจ  มันมีอะไรอาถรรพ์แน่ๆ สมองแว๊บ...นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อดีตพรานป่าชาวกะเหรี่ยงท่านหนึ่งให้มา ด้วยเสน่หาแบบมิตรไมตรี พร้อมกับกำชับให้นำติดตัวเวลาเดินทาง สามารถแก้อาถรรพ์ กันผีป่า ผีโป่ง สิ่งลึกลับได้ จึงเอ่ยปากบอกชาวคณะ ขอลุกไปทำธุระซักครู่หนึ่ง มุ่งหน้าไปเปิดประตูรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ หยิบสิ่งของที่อดีตพรานกะเหรี่ยงให้มาซึ่งเก็บเอาไว้ในช่องเก็บของด้านหลังคาหัวเก๋งของรถ ติดรถไว้ตลอดเวลา สัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังของวัตถุสองชิ้นนี้ ด้วยน้ำหนัก ขนาดและความใหญ่โต ผมจึงขออนุญาตเรียกว่า..."เขี้ยวพญาหมีป่า" ลักษณะเป็นเขี้ยวหมีขนาดใหญ่มาก ผมก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เคยเห็นตามแผงพระเครื่องอยู่หลายๆที่ แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ไม่ใหญ่เท่านี้ เป็นเขี้ยวหมี ที่แกะเป็นรูปเสือแบบแกะครึ่งเขี้ยว ฝีมือการแกะเป็นแบบชาวบ้าน จะเห็นร่องรอยการขูด กรีดเซาะแกะด้วยมือแบบโบราณ การแตกร่องบวกกับความเหลืองฉ่ำแสดงอายุว่าเก่าแก่ทีเดียว 


"เขี้ยวพญาหมีป่า...ป่าลุ่มน้ำอิรวดี"


     จัดการหยิบออกมาหนึ่งเขี้ยว ก่อนจะว่าพระคาถาหรือบทสวดกำกับที่พระอาจารย์ท่านให้มาท่องเวลาเข้าป่า กันสัตว์ กันอาถรรพ์ ท่านบอกเช่นนั้น "นะโมตัสสะ....ฯ" สามจบ แล้วตามด้วยบทสวด "อิติปิโส ภควา...ฯ"  อีกสามจบ ก่อนจะเป่าลงไปยังเขี้ยวพญาหมีป่า พร้อมกับกลั้นลมหายใจเดินมุ่งตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้นที่ยังสั่นไหวอยู่ จับเขี้ยวพญาหมีป่ายื่นชกออกไปยังไม้ต้นนั้น พลัน....! กิ่งไม้ ใบไม้ที่สั่นไหว พากันหยุดนิ่งลงสงบเงียบในพลัน.....ความเงียบ..หยุดสงบนิ่ง ทิ้งระยะอยู่อีกซักครู่หนึ่ง ...ลมเริ่มพัดโชย เสียงแห่งป่า การดำเนินกิจกรรมแห่งป่าเริ่มกลับมาเป็นปกติ  อากาศมีความเย็นจากลมพัดโชย บรรยากาศแห่งความเป็นธรรมชาติ...คืนกลับมา ป่าไม่ปลี่ยน....            
      กลับมานั่งร่วมวงสนทนากันต่อ หลังจากนำเขี้ยวพญาหมีป่ามาเก็บไว้ยังที่เดิม พูดคุยกับเพื่อนชาวคณะต่อไป แต่ก็อดแปลกใจ ดีใจ ปนตื่นเต้นในใจนิดๆ ที่ไม่คิดว่าเราจะแก้อาถรรพ์ป่าได้  ตั้งวงสนทนาจนเวลาล่วงเลยเข้าไปจวนจะห้าทุ่ม จึงแยกย้ายกันทำภารกิจส่วนตัว เข้าหลบนอนในเต้นท์ ส่วนผมภารกิจสุดท้าย จัดการเติมเชื้อไฟด้วยถ่านก้อนโตๆ  เพื่อสร้างเสริมความอบอุ่น อีกทั้งกองไฟ...ช่วยให้มีกลิ่นอายของการเข้าป่า...ช่วยสร้างเสริมกำลังใจในป่า หากเมื่อใดไฟดับหรือไม่ก่อไฟเลย จะรู้สึกวังเวงพิกลๆ ไฟ...จึงคล้ายมีอำนาจในการปกป้องคุ้มครองนักเดินป่า ทั้งจากสัตว์ป่าหรือสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น ไฟ...จึงเป็นสิ่งแรกที่ให้ความอบอุ่นใจ..โดยเฉพาะนักท่องป่าทั่วไปอย่างพวกเรา

     เวลาล่วงเลยไปราวๆซักตีหนึ่งกว่าๆเห็นจะได้ เพื่อนชาวคณะพากันนอนหลับไหลกันหมด เหลือผมคนเดียวที่ยังนั่งผิงไฟจากเตาถ่านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆโต๊ะสนทนา เนื่องจากยังคงครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อีกทั้งยังอยากอยู่กับสภาพบรรยากาศของป่า ที่ให้ความสบายใจ อิ่มเอิบใจ อัดอากาศให้ชุ่มฉ่ำปอด แบบหาที่ไหนไม่ได้ในตัวเมือง ท้องฟ้ายามราตรีเริ่มปลอดโปร่ง พระจันทร์ปรากฏขึ้นเฉียงกับฟากฟ้า ส่องแสงสีเหลืองนวล หมู่ดาวทยอยส่องประกายแสงแห่งราตรีระยิบระยับประดับท้องฟ้า นั่งอยู่คนเดียว เสริมสร้างจินตนาการอันกว้างไกล ลอย...ลอยไปที่ใดมิรู้ได้...ดื่มด่ำในห้วงแห่งจินตนาการได้ไม่นาน พลัน...! ลมพัดกรรโชกแรงวาบพัดผ่านไป ก่อนจะหวนพัดกรรโชกกลับมาอีกทิศทางหนึ่ง  พัดกรรโชกสลับไปมา สลับกันอยู่อย่างนั้น ท้องฟ้าเริ่มกลับสู่ความมืดมิด หมู่เมฆไม่รู้เคลื่อนคล้อยมาจากทิศทางใด ไหลมาบดบัง แสงเหลืองนวลของพระจันทร์ แสงประกายแห่งหมู่ดาว เริ่มมลายหายสิ้นไป 


      ป่าเปลี่ยน...ป่าอาถรรพ์....ในความรู้สึกสัมผัสได้ ถึงเหตุการณ์แปลก..ประหลาดใจ ในยามปกติเมื่อซักครู่นี้ จู่ๆท้องฟ้ากลับพลันมืดมิด ลมกลับพัดกรรโชกวูบแรง..ความเงียบสงัดวังเวงหวนกลับมาอีกครั้ง แต่แล้ว...พลัน..! จู่ๆก็มีเสียงลมพัดดังสนั่น พัดกรรโชกในแนวป่าลึกไกลออกไป เสียงลมพัดดังสนั่นลั่นป่าที่เดียว เสียงป่าลั่นนั้นดังสนั่นวิ่งเป็นทาง ดุจเสียงเหยียบย่ำของฝูงสัตว์ป่าจำนวนมากที่พากันวิ่งตรงมายังทิศทางที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ปานว่ามันจะหมายมั่นเหยียบย่ำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าให้แหลกราน "เอาล่ะวะ"...บ่นพึมพำในใจกับตัวเอง ป่าอาถรรพ์...แต่จิตใจยังคงแน่วแน่เข้มแข็ง ข่มความกลัวเอาไว้ให้ได้ จะหนีก็คงหนีไม่ได้ ขืนวิ่งหนี จะวิ่งหนีไปยังทิศทางใด คงสติแตกเป็นบ้าแน่ๆ ตาจดจ้องมองไปยังทิศทางที่มาของเสียงนั้น ในใจพลางท่องบทสวดมนต์นะโมฯสามจบ ตามด้วยบทสวดมนต์อิติปิโส ภควา...ฯ สวดไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ เสียงนั้นวิ่งเป็นทาง...ดังเข้ามาใกล้ เข้ามาใกล้ และก็เข้ามาใกล้ จนเมื่อสัมผัสได้ว่ามันจะมาถึงตัวเราแล้ว มันกลับเบาลง....เบาลง  เงียบ...เงียบ..อันตรธานหายไป...ป่าเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์แปลกประหลาด อาถรรพ์แห่งป่าเกิดขึ้นได้ชั่วครู่เดียว หากใครคุมสติตนเองไม่อยู่ เห็นทีคงสติแตกเป็นบ้า หรือวิ่งหนีตกเขาตกดอยแน่ๆ

     นั่งไตร่ตรองใคร่ตรวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นทีต้องได้พบเจออีกทั้งคืนแน่ๆ พลางนึกถึงเขี้ยวพญาหมีป่าที่อดีตพรานกะเหรี่ยงให้มาคู่นั้น จึงเดินไปหยิบออกมาจากรถ ท่องบทสวดมนต์กำกับเหมือนเดิม เสร็จแล้วกลั้นลมหายใจ ก่อนจะชกเขี้ยวพญาหมีป่าออกไปเป็นแนวทั้งสี่ทิศ...หวนกลับมานั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศของป่า จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เห็นว่า...เหตุการณ์อาถรรพ์แห่งป่าคงจะยุติ และคงจะเป็นปกติสุขทั้งคืน จึงกลับเข้าเอนกายนอนในเต้นท์ ทิ้งเตาไฟที่ยังครุกรุ่นอยู่...เป็นปราการด่านสุดท้าย .. จนกว่ามันจะมอดไหม้ดับลงไป....

บทสรุป...
     เรื่องเล่าข้างกองไฟ ...เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาบวกกับประสบการณ์ที่ได้มาจากการเดินทางท่องเที่ยวป่าดงดิบและขุนเขา เป็นเรื่องที่ท้าทายสภาพจิตใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยอารมณ์รักป่า ชอบบรรยากาศแห่งป่า บางครั้งจำต้องเดินทางคนเดียว จิตใจจึงต้องกล้าแข็ง เด็ดเดี่ยวพอ...หากอยากให้เรื่องเล่าจากป่ายังคงอยู่ เราต้องช่วยกันหวงแหนป่า หวงใยธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น