พงไพร ผีป่า นางไม้

พงไพร ผีป่า นางไม้

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เล่าด้วยภาพ ว่าไปตามเรื่อง...ตอนไขความลับพระกำแพง พิมพ์ซุ้มกอทรงเครื่อง สีเขียว กรุลานทุ่งเศรษฐี เมืองกำแพงเพชร

พระซุ้มกอทรงเครื่องผิวสีเขียว กับความลี้ลับที่หาพบเห็นได้ยากยิ่ง


    พระกำแพงซุ้มกอผิวสีเขียว พิมพ์ใหญ่มีกนก องค์ทรงเครื่อง แบบมีกำไลรัดต้นแขน กำไลรัดข้อมือ กำไลรัดข้อเท้า จำนวน ข้างละ ๓ วง รวมทั้งหมด ๑๘ วง การทรงเครื่องชั้นสูงแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งมหาอำนาจหรือผู้ปกครองชั้นสูง พอจะตั้งสมมติฐานได้ว่า เป็นการสร้างหรือการอุปถัมภ์การสร้างโดยชนชั้นผู้ปกครองชั้นสูงสุดของสังคมยุคนั้น 
   เป็นพระพิมพ์ที่ เป็นข้อถกเถียงกันว่ามีจริงหรือไม่  พิจารณาและเล่าเรื่องด้วยภาพก็แล้วกันครับ

อัตลักษณ์


เม็ดแร่ผุด



  เม็ดแร่หรือเม็ดกรวดก้อนเล็กๆตั้งแต่ขนาดจิ๋วขึ้นมา ผุดขึ้นทั่วองค์พระ (เล็กจิ๋วมาก ถ่ายรูปชัดยาก) แสดงถึงการยุบหรือห่อหดตัวของมวลสารพระ แล้วบีบให้ชั้นมวลสารที่มีความแข็งกว่า คือแร่เม็ดกรวดต่าง ผุดขึ้นมา จนดูลอยสูงเด่นกว่ามวลสารเนื้ออ่อน 
   การที่เม็ดแร่หรือกรวดต่างๆ ลอยผุดขึ้นมาก็เนื่องจากความแข็งนั่นเอง ที่ไม่สามารถหดตัวหรือหดตัวยากหรือต้องใช้ระยะเวลานานมาก จึงยังคงตั้งอยู่ ส่วนมวลสสารเช่นผงดิน ว่านต่างๆ ซึ่งมีความอ่อนกว่า จึงหดและยุบตัวลงตามกาลเวลา หลักการนี้ นิยมใช้ในการดูพระเครื่องเนื้อดิน เช่น....พระนางพญา แห่งเมืองพิษณุโลก...
    แต่...ตรงกันข้ามกับพระเครื่องเนื้อดิน ในองค์ที่เป็นพระกรุน้ำ เช่นโดนน้ำท่วม น้ำฝนชะล้าง...จะไม่เรียกว่า เม็ดแร่ผุด แต่จะเป็น เม็ดแร่ลอย..เนื่องจากการสูญเสียหรือถูกทำลายของชั้นมวลสารที่เป็นเนื้ออ่อนโดยรอบเม็ดแร่กรวดนั้นๆ.....

ชั้นผิวหินปูน


    ชั้นผิวหินปูน (ใน)คือการละลายตัวของแคลเซียมออกมา (แคลไซด์) แล้วสะสมแห้งตัวเป็นคราบความแข็งบนชั้นผิวองค์พระ ซึ่งเรียกว่าชั้นผิวหินปูน ซึ่งจะมีโทนสีที่อิงสสารหลักหรือมวลสารหลักขององค์พระ เนื่องจากเป็นการละลายนำพาแร่ธาตุต่างในมวลสารหลักออกมาด้วย
    พระพิมพ์ซุ้มกอองค์นี้ จะมองไม่เห็นผิวชั้นปูนแรกหรือชั้นปูนดั้งเดิม เนื่องจากเกิดการสะสมและทับถมกันของคราบกรุจากภายนอก ผิวคราบชั้นหินปูนจึงเกิดหลากหลายสี เช่นสีส้มอมแสดกึ่งชมพู สีเทาหม่นและสีขาว ..เป็นต้น ซึ่งเป็นการละลายตัวออกมาตามสีชั้นผิวที่สะสมปิดทับ ซึ่งมีองค์ประกอของแร่เหล็กเป็นหลัก

การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของดิน หิน

     จากการที่ได้ครอบครององค์พระพิมพ์ซุ้มกอองค์นี้ ที่เป็นพิมพ์พิเศษแบบทรงเครื่องพร้อมกับชั้นคราบกรุที่เกิดหลายชั้นหลากสี จนมีชั้นผิวสีเขียวเป็นสีล่าสุด ผมจึงได้พยายามค้นคว้าและเพียรสงสัยถึงวิวัฒนาการของชั้นผิวสีเขียว จนกระทั่งได้ขุดพบดินก้อนหนึ่ง จึงได้ทำการทุบเพื่อจะดูชั้นวิวัฒนาการทั้งทางกายภาพและทางเคมี ผลปรากฏพบว่า สีที่อยู่ชั้นในหรือใจกลางดินก้อนนี้ เป็น....สีเขียว สันนิษฐานว่า..เป็นการสลายตัวของธาตุเหล็กในดิน
    จึงพอจะตั้งสมมติฐานได้ว่า..การเปลี่ยนแปลงของชั้นสีเขียว กินระยะเวลานานที่สุด...ของมวลดินก้อนนี้


ก้อนดินอายุเก่าแก่ ชั้นใจกลาง..สีเขียว





ชั้นสีเขียวในมวลหิน

    เมื่อมาวิเคราะห์โทนสี ที่เป็นชั้นวิวัฒนาการตามระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของชั้นดิน หิน แล้ว พอจะอนุมานไล่ตามการกำเนิดก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงไปทีละสี จึงพอจะไล่เฉดสีหรือการเปลี่ยนแปลง..ดังนี้ 
    ใส - (ใส)ขุ่น - ขาว - เหลือง - ส้ม - แดง ดำ เขียว (สีที่เข้มขึ้นต่างๆ จนไปสู่วิวัฒนาการแห่งอัญมณี)

ชั้นวิวัฒนาการในดิน หิน

    สุดท้าย ชั้นผิวสีเหลืองแบบขมิ้น เป็นอีกหนึ่งเฉดสีที่มีความสำคัญในวิวัฒนาการของ...พระกรุ ซึ่งจะได้กล่าวในตอนอื่นๆ


"ดูพิมพ์..ให้ดูได้ แต่ดูเนื้อ...ให้ดูเป็น"
"ความรู้อยู่ที่การแสวงหา ไม่ใช่อยู่แค่ในตำรา"

เขียนและเล่าเรื่องโดย...ร.ต.ท.อภิชาติ ปัดภัย  (ชาติ เชียงราย) ..Knowledge are endless. "การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด" สงวนสิทธิ์ ๒๕๖๐...สนใจ..ติดต่อ apichatimm@gmail.com

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เล่าเรื่องด้วยภาพ..พระเครื่อง..เนื้อดินเมืองกำแพง....

พระซุ้มกอ พิมพ์กลาง เมืองกำแพงเพชร

องค์คราบผิว หินปูนผุด





พระซุ้มกอ พิมพ์กลาง เมืองกำแพงเพชร

องค์แก่ว่าน บางเฉียบ





เขียนและเล่าเรื่องโดย...ร.ต.ท.อภิชาติ ปัดภัย  (ชาติ เชียงราย) ..Knowledge are endless. 
"การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด"

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เล่าเรื่องด้วยภาพ พระสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร

        พระคาถาหรือเวทย์มนต์ เกิดก่อนวัตถุมงคลหรือพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ มีมาแต่โบร่ำโบราณ สืบมาถึงยุคแห่งนักบวชพราหมณ์แห่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู จนกระทั่งถึงกาลปัจจุบัน พุทธศาสนา ถึงแม้จะปฏิเสธเวทมนต์คาถา ด้วยพระธรรมคำสอนแห่งพุทธองค์ แต่ในชีวิตความเป็นจริง พิธีกรรมแห่งศาสนาพราหมณ์หรือเวทมนต์คาถาก็ยังมีบทบาท อยู่ควบคู่กับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันแบบหลักพุทธผสมพิธีกรรมแห่งพราหมณ์..
    พระคาถาไจยะเบงชรหรือชินบัญชร...แห่งอาณาจักรล้านนา รวมถึงในดินแดนพม่า ก็มีมาแต่โบราณอันยากที่จะล้วงลึกหาต้นตอ หรือต้นกำเนิดได้ เป็นเวลาเนิ่นนานมากว่า ๕๐๐ ปี ที่ทางล้านนาใช้พระคาถาไจยะเบงชรในการประกอบพิธีกรรมต่างๆรวมถึงพิธีกรรมการสืบชะตาดวงเมือง 

  “รตนํ ปุรโต อาสิ” อันเป็นหัวใจของพระคาถาไจยะเบงชร ที่ทางล้านนาเรียกว่า พระคาถา "ตาลฮิ้น" แม้ต้องศาสตราวุธปืนไฟ ยิงใส่จนต้นตาลที่หลบอยู่ขาดกระจุยหรือ....(ตาล)ฮิ้น ก็ยังแคล้วคลาดปลอดภัย
    จนกระทั่งมาถึงยุคของ..พระสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ได้มีการนำพระคาถาไจยะเบงชร..มาเรียบเรียงดัดแปลงใหม่เรียกว่า พระคาถาชินบัญชร จนเป็นต้นกำเนิด...พระสมเด็จวัดระฆังอันโด่งดัง...

พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่..อกวี


    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ อกวี...องค์แตกลายงา ผิวมุก หนึกนุ่ม

พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ฐานแซม


  
     พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ฐานแซม องค์พิมพ์เขยื้อน ผิวผลึกแคลไซด์ Calcite หินปูน

มวลสารพระสมเด็จฯ






พระสมเด็จวัดระฆัง (/บางขุนพรหม)พิมพ์เส้นด้าย 


มวลสารพระสมเด็จฯ(หลังสังขยา)

พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม พิมพ์สังฆาฎิมีหู






    เขียนและเล่าเรื่องโดย...ร.ต.ท.อภิชาติ ปัดภัย  (ชาติ เชียงราย) ..Knowledge are endless. "การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด" ขอชมองค์พระ ติดต่อ..apichatimm@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"ตำนานแห่งองค์ฤษีผู้วิเศษ " พระพิมพ์ที่ขานตำนานเกี่ยวกับองค์พระฤษี - The Buddha amulets..related with the sacred Hermits. "






   "สมเด็จบาง นางหนา ท่านว่าไว้ พระรอดนุ่มหนึกใน คล้ายสีผึ้ง ผงสุพรรณดินกรองต้องตราตรึง ซุ้มกอซึ้ง แร่มะขาม งามจับใจ"

       เมื่อรวบรวมตำนานการสร้างพระเครื่องแห่งองค์พระฤษี ในเขตตำบลเมืองพิษณุโลกถึงเขตตำบลเมืองสุพรรณบุรี แล้ว พอจะทราบความได้ว่า....
  "ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิชัยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ มีฤษี ๑๑ ตน ฤษีเป็นใหญ่ ๓ ตน ตนหนึ่งฤษีพิราไลย์ ตนหนึ่งฤษีตาไฟ และ ฤษีตาวัว เป็นประธานแก่หมู่ฤษีทั้งหลายทั้งหมด จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะเอาอันใดไปให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤษีทั้งสามจึงว่าแก่ฤษีทั้งปวง...ว่า...เราจะทำด้วยฤทธิ์ ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้นี้ ฉลองพระองค์จึงทำเป็นเมฆพัดอุทุมพร เป็นมฤตพฤทธิ์ อายุวัฒนะ พวกฤษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวน้อยใหญ่ เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย สมณชีพราหมณาจารย์เจ้า ไปถ้วน ๕,๐๐๐ พรรษา ฤษีตนหนึ่งจึงว่าแก่ฤษีทั้งปวง...ว่า...ท่านจงไปเอาว่านทั้งหลาย อันมีฤทธิ์ เอามาให้ได้หนึ่งพัน แล้วเก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิ ให้ได้หนึ่งพัน ครั้นเสร็จแล้ว ฤษีก็ป่าวร้องเทวดาทั้งปวง ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัดสถานหนึ่ง ฤษีทั้ง ๓ ตนนั้น จึงบังคับแก่ฤษีทั้งปวง ให้เอาว่านทำเป็นผงเป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวง ให้ประสิทธิทุกอัน จึงให้ฤษีทั้งนั้นเอาเกสรและว่านมาประสมกัน ตีให้เป็นพระ ให้ประสิทธิ์แล้ว ด้วยนวหรคุณ ประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด......ให้รฤกถึงคุณฤษีที่ทำไว้นั้นเถิด มีกูไว้ไม่จน...."


   ตามตำนานเรื่องเล่าแห่งองค์พระฤษี...กล่าวไว้ว่า...ฤษี..บางทีเรียกว่า.. ฤษิต หรือ นักษิตวิทยาธร คือผู้แสวง ผู้บำเพ็ญตบะ ผู้อำนาจจิต บางตำนานเรียกว่า วรรณปรัช หรือ ผู้อยู่ป่า มักจะรู้จักกันดีในภาพของการครองห่มด้วยผ้าลายหนังเสือ แต่..ปกติเมื่อองค์ฤษี เมื่ออยู่อาศรมจะนุ่งห่มชุดขาว ถ้าบริกรรมบำเพ็ญตบะ จะนุ่งห่มด้วยชุดคาครองหรือนุ่มห่มด้วยต้นหญ้า ต้นคาแต่ถ้าจะออกงานพิธีการต่างๆ จะนุ่งห่มด้วยชุดลายหนังเสือ
  ลักษณะความเป็นอยู่ของฤษีทั่วไป บริโภคผัก ผลไม้ เผือกมันเป็นอาหาร มุ่งแต่บำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเดียว บางตำนานแบ่งฤษี ไว้เป็น ๘ จำพวกด้วยกัน คือ...
๑.สกุตตะภริยา คือ ฤษีที่รวบรวมทรัพย์ไว้บริโภค  
   เหมือนกับคนมีครอบครัว
๒.อุนฉาจริยา คือ ฤษีที่รวบรวมข้าวเปลือกและถั่วงา
   เป็นต้น ไว้หุงต้มกิน
๓.อนัตคิ ปัจขิกา คือ ฤษีที่รับเฉพาะข้าวสารไว้หุงต้มกิน
๔.อาสามะปักกา คือ ฤษีที่รับเฉพาะอาหารสำเร็จ ไม่หุง
   ต้มกินเอง
๕.อสมมุติกา คือ ฤษีที่ใช้ก้อนหินทุบเปลือกไม้บริโภค
๖.ทันตวัคกริกา คือ ฤษีที่ใช้ฟันแทะเปลือกไม้บริโภค
๗.ปวัตตะพละโภชนา คือ ฤษีที่บริโภคผลไม้
๘.ปันทุปะลาสิกะ คือ ฤษีที่บริโภคผลไม้ หรือใบไม้เหลืองที่หล่นเอง


  พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์กลาง

ประวัติ พระฤษีตาวัว

    ท่าน..เดิมทีเป็นพระสงฆ์ ตาบอดทั้งสองข้าง ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้ แต่ว่ายังไม่ทันได้ใช้ให้เกิดประโยชน์อะไร ก็ทำปรอทนั้นตกหล่นไปในฐาน (ส้วม) จะหยิบคืนมาก็ไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น จึงเก็บเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง มีลูกศิษย์มาเข้าใช้ฐาน ก็สังเกตเห็นแสงเรืองๆ จมอยู่ใต้ ในฐาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็ดีใจ จึงให้ศิษย์พาไป ถ้าเห็นแสงเรืองตรงไหน ก็ให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะยังไงก็ช่างมัน ศิษย์จึงทำตาม พระอาจารย์จึงควักเอาปรอทกลับคืนมาได้ จัดแจงล้างทำความสะอาด แล้วแช่เอาไว้ในโถน้ำผึ้งที่ใช้ฉัน ไม่นำติดตัวไปไหนอีก
    จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์จึึงมานั่งรำพึงถึงสังขาร ว่า เราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว น่าจะลองดู จึงให้ลูกศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตามา แต่ว่าลูกศิษย์หาศพใหม่ๆไม่ได้ พบวัวนอนตายใหม่ๆอยู่ตัวหนึ่ง เห็นว่าน่าจะดี จึงควักลูกตาวัวไปให้พระอาจารย์แทน พระอาจารย์จึงนำปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้ มาคลึงที่ตา ควักเอาตาที่เสียออก เอาตาวัวใส่เข้าไปแทน แล้วก็เอาปรอทอาคมนั้นคลึงตามหนังตา ไม่ช้า ตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดี เป็นธรรมดา พระอาจารย์จึงสึกจากพระ เข้าถือเพศเป็น..ฤษี จึงเรียกกันว่า....ฤษีตาวัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

ฤษีตาวัวและฤษีตาไฟและเมืองศรีเทพ


    ฤษีทั้งสอง เป็นเพื่อนเกลอกัน รักกันมาก มีอะไรก็บอกกัน ไม่มีปิดบัง ทั้งสองสร้างอาศรมอยู่ใกล้กัน บนเขาใกล้เมืองศรีเทพ วันหนึ่งองค์ฤษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้น มีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย แต่ถ้าเอาน้ำอีกบ่อขึ้นมารด ก็จะฟื้นคืนมาได้เอง เรียกว่า...บ่อเป็น บ่อตาย 
    ศิษย์ก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ องค์ฤษีตาไฟจึงบอกว่าจะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ถ้าตัวตายแล้วต้องสัญญาว่า ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ ศิษย์ก็รับคำ องค์ฤษีตาไฟก็เอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤษีตาไฟก็ตายไปจริงๆ ลูกศิษย์เห็นดังนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับกลัวแล้ววิ่งหนีเข้าเมืองไปในเมืองศรีเทพเสีย..
    ฝ่ายฤษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤษีตาไฟเพื่อนเกลออยู่เป็นประจำ เมื่อเห็นฤษีตาไฟหายไปผิดสังเกตอย่างนั้นก็ช่างสงสัย จึงออกจากอาศรมเที่ยวตามหา เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตาย ก็เห็นน้ำในบ่อเดือด ก็รู้ได้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว จึงตามหาจนพบศพของฤษีตาไฟ ฤษีตาวัวจึงได้ตักน้ำบ่อเป็นขึ้นมารด ฤษีตาไฟจึงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤษีตาวัวฟัง แล้วว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ซึ่งเป็นลูกเจ้าเมือง ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดในเมืองศรีเทพอีกด้วย ฤษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงขั้นนั้นเลย แต่ฤษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟัง ได้เนรมิตวัวตัวใหญ่ขึ้นมาตัวหนึ่ง เป็นวัวกายสิทธิ์ เอาพิษร้ายบรรจุเข้าไปในท้องวัวจนเต็ม จึงปล่อยวัวกายสิทธิ์ตัวนั้นให้เดินขู่คำราม ด้วยเสียงกึกก้องรบกวนรอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูเมือง ปิดประตูเมืองเอาไว้ 
    จนกระทั่งถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงสั่งให้ทำการเปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์ที่คอยทีอยู่ก่อนแล้ว จึงได้กรุยวิ่งเข้าไปในเมือง ทันทีที่เข้าไปในเมืองท้องวัวก็ระเบิดออก พิษจึงได้กระจายพุ่งออกมา ทำให้พลเมืองล้มตายกันหมด เมืองศรีเทพ จึงได้เป็นเมืองร้างมาตั้งแต่บัดครั้งนั้น..
     ตำนานการสร้างพระพิมพ์ด้วยมนตราและพระคาถาแห่งองค์หมู่พระฤษี โดยการนำของพระฤษีทั้งสามตน พระฤษีพิมพิลาไลย์ พระฤษีตาไฟ และ พระฤษีตาวัว....
    พระพิมพ์ต่างๆที่มีตำนานเกี่ยวข้องกับพิธีการสร้างแห่งองค์พระฤษี..เช่น พระรอด จังหวัดลำพูน พระพิมพ์ซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชร พระผงสุพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี พระยอดขุนพลท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรี....เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นที่แสวงหาของผู้คน และผู้ที่นิยมสะสมพระเครื่อง...

พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์กลาง กำแพงเพชร

"ซุ้มกอ..ซึ้ง ดอกมะขาม งามกับใจ"

     อีกหนึ่ง...พระรอดเนื้อดินเผา..พ่วงขานตำนานพระรอด พุทธศิลป์แบบโพธิ์ตุ่ม ไม่ทราบกรุ แต่จากผิวคราบและเนื้อในองค์พระ ที่เริ่มจะแปรสภาพโครงสร้างคล้ายแบบหินอัคนีแบบเนื้อในสีเขียวเข้ม ผิวสนิมไขสีเหลือง จึงน่าจะประมาณการอายุของพระ ซึ่งน่าจะมีความเก่าแก่ตามหลักตรรกกะ..พอสมควร

    เอกลักษณ์... ปีกข้างบางๆม้วนพับเข้าข้างใน และก้นฐานที่ม้วนพับบางๆ สวยงาม

    พระท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรี โด่งดังมาตั้งแต่ครั้งอดีต บวกกับสนิมแดงที่เริ่มจับเกาะที่พระเนตร จนได้รับฉายาว่า."พระยอดขุนพลตาแดง แห่งลุ่มน้ำแม่กลอง"
  พุทธศิลป์แบบอู่ทอง ประทับนั่งแบบปางมารวิชัยบนฐานแบบสำเภา สร้างด้วยเนื้อตะกั่ว อายุกาล ประมาณกว่า ๗๐๐ ปี


พระท่ากระดาน กาญจนบุรี



 "สมเด็จบาง นางหนา ท่านว่าไว้ พระรอดนุ่มหนึกใน คล้ายสีผึ้ง ผงสุพรรณดินกรองต้องตราตรึง ซุ้มกอซึ้ง แร่มะขาม งามจับใจ"
    พระรอด..    วัดดอนแก้ว วัดโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองลำพูน พระนางเจ้าจามเทวี ได้สถาปนามาตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๒๒๓ เป็นหนึ่งในสี่ของวัดจตุรปราการ หรือวัดประจำมุงเมืองทั้งสี่ทิศ โดยวัดดอนแก้วนั้นเป็นวัดประจำด้านทอีกหนึ่งในตำนานแห่งการสร้างโดยพระฤษี ที่มีนามว่า "ฤษี นารอด" 

พระรอด พิมพ์ใหญ่ ลำพูน

"พระรอด นุ่ม..หนึกใน คล้ายสีผึ้ง"





    อีกหนึ่งตำนานที่ลึกลับในการสร้าง แต่ก็เกี่ยวพันกับองค์พระฤษี ไม่ว่าสถานที่พบหรือคำจารึกลานทอง...คือ พระมเหศวร ซึ่งแตกกรุเพียงแห่งเดียว คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี..
  พระมเหศวร เนื้อชินสังฆวานรหรือเนื้อชินอ่อน  โบราณเรียก "เนื้อตะกั่วน้ำค้าง" เป็นเนื้อที่หาได้พบยากเป็นอย่างยิ่ง  เอกลักษณ์เป็นเนื้อตะกั่วอ่อน สีเทา-ดำ  ลักษณะผิวเนื้อเหมือนเปียกชุ่มน้ำอยู่ตลอด คล้ายๆใบไม้ที่พรมทับด้วยหยาดน้ำค้าง จึงเป็นที่มาของ "เนื้อตะกั่วน้ำค้าง".....

พระมเหศวร สุพรรณบุรี


      
     วัดดอนแก้ว วัดโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองลำพูน พระนางเจ้าจามเทวี ได้สร้างมาตั้งแต่..ปี พ.ศ.๑๒๒๓ เป็นหนึ่งในสี่ของวัดจตุรปราการ หรือวัดประจำมุงเมืองทั้งสี่ทิศ โดยวัดดอนแก้วนั้นเป็นวัดประจำด้านทิศตะวันออก วัดอันเป็นต้นกำเนิดของพระเปิม..
    พระเปิม..ยิ่งมองยิ่งซึ้งใจ แบบพระสกุลลำพูน ผนังโพธิ์โดดเด่นอลังการ์มีมิติและสวยงามจับใจมาก แต่ก็แฝงด้วยความเข้มขลัง องค์พระมีขนาดใหญ่ มีขนาดรับกับการเป็นพระประธานประจำสร้อย 
    ปัจจุบันบริเวณของวัดโบราณแห่งนี้ ได้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนเทศบาลตำบลเวียงยอง....

พระเปิม ลำพูน



 มิติ..องค์พระเปิม..องค์นี้


   พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี ตำนานจากจารึกลานทองแห่งองค์พระฤษี ..

พระผงสุพรรณ สุพรรณบุรี

"ผงสุพรรณ ดินกรอง ต้องตาตรึง"



ตำนานควบคู่พงศาวดาร อาณาจักรหริภุญไชย (ลำพูน)




 มวลสารผงว่านศักดิ์สิทธิ์



สนใจขอชมองค์พระติดต่อผ่านที่อยู่อีเมล...apichatimm@gmail.com
เขียนโดย ร.ต.อ.อภิชาติ ปัดภัย รอง สวป.สภ.เมืองตาก